ธรรมบรรยายวันที่ ๑ ของอาจารย์ S.N.Goenka การเริ่มต้นสู่การกำหนดรู้ลมหายใจ (อนาปานสติ)
https://www.thaidhamma.net/
https://thailanddhamma.org/
ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๑:
- ความสำคัญของศีล: ท่านจะอธิบายว่าศีลเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของการปฏิบัติ หากไม่มีศีล การทำสมาธิก็จะไม่ก้าวหน้า ในหลักสูตรนี้ ผู้ปฏิบัติจะสมาทานศีล ๕ (สำหรับฆราวาส) หรือศีล ๘ (สำหรับผู้ที่สามารถรักษาได้) รวมถึงการงดการพูดคุย การอ่าน การเขียน และการติดต่อสื่อสารภายนอก เพื่อให้จิตใจสามารถจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติได้อย่างเต็มที่ (อริยมรรคมีองค์ ๘: สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)
- การตั้งมั่นในสมาธิ (สมถะ): ก่อนที่จะเริ่มวิปัสสนา ท่านอาจารย์จะนำผู้ปฏิบัติเข้าสู่การฝึก อนาปานสติ ซึ่งเป็นการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก หรือบริเวณเหนือริมฝีปากบน การฝึกนี้มีจุดประสงค์เพื่อทำให้จิตใจสงบ ตั้งมั่น และมีความคมชัด เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสังเกตความจริงที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้นในภายหลัง
- การเฝ้าดูลมหายใจตามธรรมชาติ: ท่านจะเน้นย้ำให้ผู้ปฏิบัติเพียงแค่ สังเกต ลมหายใจตามที่เป็นจริง ไม่ต้องพยายามบังคับลมหายใจให้เป็นไปตามที่เราต้องการ ไม่ว่าลมจะสั้น ยาว หยาบ ละเอียด เข้าทางจมูกข้างเดียว หรือสองข้าง ให้เพียงแค่รู้ตามความเป็นจริง
- การรับรู้สัมผัสของลมหายใจ: ผู้ปฏิบัติจะถูกแนะนำให้สังเกต สัมผัส ของลมหายใจที่เกิดขึ้นบริเวณปลายจมูกหรือเหนือริมฝีปากบน ซึ่งอาจเป็นความเย็น ความอบอุ่น การเสียดสี หรือสัมผัสใดๆ ที่เกิดขึ้น การทำเช่นนี้เป็นการฝึกให้จิตอยู่กับปัจจุบันขณะและพัฒนาความไวในการรับรู้สัมผัสทางกาย
- ความเป็นกลาง (อุเบกขา): แม้จะเป็นเพียงวันแรก ท่านจะเริ่มปูพื้นฐานแนวคิดเรื่อง อุเบกขา หรือการวางใจเป็นกลางต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเกิดความรู้สึกสบาย ไม่สบาย หรือเฉยๆ จากการสังเกตลมหายใจ ให้เพียงแค่รับรู้โดยไม่เข้าไปยึดติดหรือผลักไส ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติวิปัสสนา
สรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๑ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า เป็นการเริ่มต้นการเดินทางภายในสู่การชำระจิตใจ โดยเน้นย้ำถึง ศีล ซึ่งเป็นรากฐานอันมั่นคงของการปฏิบัติ และการฝึก อนาปานสติ ซึ่งเป็นการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อพัฒนาสมาธิและความไวในการรับรู้สัมผัส สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยให้จิตใจสงบและตั้งมั่น แต่ยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเฝ้าดูความจริงภายในอย่างเป็นกลาง (อุเบกขา) ในขั้นตอนต่อไปของวิปัสสนา การเรียนรู้ในวันแรกจึงเป็นการวางรากฐานที่จำเป็น เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถก้าวเข้าสู่การค้นพบปัญญาภายในได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ธรรมบรรยายวันที่ ๒ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ในหลักสูตร ๑๐ วัน ยังคงต่อยอดจากการปฏิบัติอนาปานสติในวันแรก แต่จะเริ่มเน้นย้ำถึงความละเอียดอ่อนของการรับรู้สัมผัส และการเข้าใจถึงธรรมชาติของจิตที่ซัดส่าย
ธรรมบรรยายวันที่ ๒: การพัฒนาความไวในการรับรู้และธรรมชาติของจิต
ในวันที่สองนี้ ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าจะยังคงให้ความสำคัญกับการฝึกอนาปานสติ แต่จะแนะนำให้ผู้ปฏิบัติพยายามรับรู้ลมหายใจและสัมผัสที่เกิดขึ้นบริเวณใต้รูจมูกและเหนือริมฝีปากบนให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น จุดประสงค์คือเพื่อพัฒนาความไวของจิตในการรับรู้ความจริงที่ละเอียดอ่อนที่สุดของกาย
ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๒:
· การพัฒนาความไวของจิต: ท่านอาจารย์จะกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติพยายามสังเกตสัมผัสที่ละเอียดอ่อนที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับความสั่นสะเทือน ความร้อน ความเย็น หรือเพียงแค่การรับรู้ถึงการมีอยู่ของลมหายใจที่ผ่านไปมาอย่างแผ่วเบา การฝึกนี้ช่วยให้จิตมีความละเอียดอ่อนมากขึ้น และสามารถรับรู้ถึง "อนิจจัง" หรือความไม่เที่ยงในระดับที่ละเอียดลึกซึ้งยิ่งขึ้น
· การเฝ้าดูความซัดส่ายของจิต: ในวันนี้นั้น ผู้ปฏิบัติอาจจะเริ่มเผชิญกับความฟุ้งซ่านของจิตอย่างชัดเจน ท่านอาจารย์จะอธิบายว่านี่เป็นเรื่องปกติของจิตที่ไม่เคยได้รับการฝึกฝนให้สงบนิ่ง ท่านจะสอนให้ผู้ปฏิบัติเพียงแค่ รับรู้ ถึงความคิดที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี โดยไม่เข้าไปตัดสิน ไม่เข้าไปปรุงแต่ง และไม่เข้าไปผูกมัดกับความคิดนั้น เมื่อรู้ตัวว่าจิตฟุ้งซ่าน ก็ให้ดึงสติกลับมาที่ลมหายใจอย่างนุ่มนวล โดยไม่มีความตึงเครียดหรือความไม่พอใจ
· การอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างต่อเนื่อง: ท่านจะย้ำเตือนถึงความสำคัญของการอยู่กับลมหายใจในทุกขณะ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจในปัจจุบัน ไม่ใช่ลมหายใจที่เพิ่งผ่านไปแล้ว หรือลมหายใจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การฝึกเช่นนี้เป็นการช่วยให้จิตไม่หลงอดีต ไม่กังวลอนาคต แต่ตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง
· การทำความเข้าใจธรรมชาติของ "กิเลส": แม้จะยังไม่ลงลึกถึงการเผชิญกับกิเลสโดยตรง แต่ท่านจะเริ่มปูพื้นฐานว่า ความฟุ้งซ่านของจิตนั้นก็เป็นอาการหนึ่งของกิเลสที่ผุดขึ้นมา การรับรู้ถึงความฟุ้งซ่านโดยไม่เข้าไปยึดติด จะเป็นการเริ่มต้นของการถอนรากถอนโคนกิเลสจากจิตใจ
โดยสรุป ธรรมบรรยายในวันที่ ๒ จึงเป็นการเน้นย้ำถึงการพัฒนาความละเอียดอ่อนของการรับรู้ในอนาปานสติ ควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจและจัดการกับธรรมชาติของจิตที่ซัดส่าย ให้ผู้ปฏิบัติเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างต่อเนื่องและไม่ตัดสิน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับความจริงภายในที่ลึกซึ้งขึ้น
สรุป
ธรรมบรรยายวันที่ ๒ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ยังคงมุ่งเน้นที่การฝึก อนาปานสติ แต่ยกระดับการปฏิบัติให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยให้ความสำคัญกับการ พัฒนาความไวของจิต ในการรับรู้สัมผัสที่ละเอียดอ่อนที่สุดบริเวณปลายจมูก พร้อมกับแนะนำให้ผู้ปฏิบัติ เฝ้าดูธรรมชาติของจิตที่ซัดส่าย ด้วยความไม่ตัดสิน และดึงสติกลับมาที่ลมหายใจใน ปัจจุบันขณะ อย่างนุ่มนวล การเรียนรู้นี้เป็นการปูทางไปสู่การทำความเข้าใจและเผชิญหน้ากับกิเลสที่เกิดขึ้นในจิตใจ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปฏิบัติวิปัสสนาในขั้นต่อไป
ธรรมบรรยายวันที่ ๓ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ในหลักสูตร ๑๐ วัน เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจากการเฝ้าดูลมหายใจอย่างละเอียด ไปสู่การเริ่มสำรวจ สัมผัส ที่เกิดขึ้นทั่วทั้งร่างกายอย่างเป็นระบบ และเป็นการปูพื้นฐานแนวคิดเรื่อง เวทนา หรือการรับรู้ความรู้สึกต่างๆ ในร่างกาย
ธรรมบรรยายวันที่ ๓: ก้าวสู่การสำรวจสัมผัสทั่วร่างกาย (วิปัสสนาเบื้องต้น)
ในวันที่สามนี้ ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าจะยังคงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการทำจิตให้ตั้งมั่นด้วยอนาปานสติ แต่จะเริ่มนำผู้ปฏิบัติเข้าสู่การปฏิบัติ วิปัสสนา อย่างเป็นทางการมากขึ้น นั่นคือการเริ่มสำรวจสัมผัสที่เกิดขึ้นในส่วนต่างๆ ของร่างกายอย่างมีสติ
ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๓:
· การขยายขอบเขตการรับรู้: หลังจากที่ฝึกสติอยู่กับบริเวณปลายจมูกมาสองวัน ผู้ปฏิบัติจะได้รับคำแนะนำให้ขยายขอบเขตของการรับรู้สัมผัสไปทั่วทั้งบริเวณ สามเหลี่ยมปากม้า (บริเวณตั้งแต่ปลายจมูกจรดปากบน) จากนั้นจึงค่อยๆ ขยับขยายการรับรู้ไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย โดยเริ่มจากศีรษะลงมา หรือส่วนบนของร่างกายลงมาสู่ส่วนล่าง การทำเช่นนี้เป็นการฝึกให้จิตมีความสามารถในการรับรู้สัมผัสที่เกิดขึ้นในทุกส่วนของกายอย่างละเอียดและครอบคลุม
· การรับรู้สัมผัสทุกประเภท (เวทนา): ท่านอาจารย์จะอธิบายว่าในทุกขณะ สัมผัสต่างๆ กำลังเกิดขึ้นในร่างกายของเรา ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกร้อน หนาว เจ็บ คัน ชา ความตึง ความผ่อนคลาย หรือแม้แต่ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนมากจนแทบไม่รู้สึกอะไรเลย สิ่งเหล่านี้คือ เวทนา หรือความรู้สึกทางกายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท่านจะสอนให้ผู้ปฏิบัติเพียงแค่ รับรู้ สัมผัสเหล่านั้นตามความเป็นจริง โดยไม่เข้าไปสร้างปฏิกิริยา ไม่ชอบ ไม่ชัง ไม่ยึดติด หรือผลักไส
· ความเป็นกลาง (อุเบกขา) ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น: เมื่อสัมผัสปรากฏขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสที่น่าพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจ ท่านอาจารย์จะเน้นย้ำถึงความสำคัญของการรักษา ความเป็นกลาง (อุเบกขา) ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่เข้าไปยินดียินร้ายต่อสัมผัสเหล่านั้น เพราะทั้งสัมผัสที่ดีและไม่ดีล้วนเป็นเพียง อนิจจัง หรือสิ่งที่เกิดขึ้น ชั่วคราว และดับไป การรับรู้โดยปราศจากการปรุงแต่งนี้คือหัวใจของการปฏิบัติวิปัสสนา
· การทำความเข้าใจกฎแห่งไตรลักษณ์ (อนิจจัง): การเฝ้าดูสัมผัสที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างต่อเนื่องทั่วร่างกาย จะทำให้ผู้ปฏิบัติเริ่มประจักษ์แจ้งถึง อนิจจัง หรือความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งด้วยตนเอง ความรู้สึกทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีความรู้สึกใดที่คงทนถาวร การเข้าใจความจริงนี้จากการปฏิบัติ จะช่วยลดความยึดมั่นถือมั่นและนำไปสู่การลดทุกข์ในที่สุด
โดยสรุป ธรรมบรรยายในวันที่ ๓ จึงเป็นการก้าวจากการเพ่งจิตที่จุดเล็กๆ ไปสู่การสำรวจสัมผัสทั่วร่างกาย เพื่อให้จิตคุ้นเคยกับการรับรู้ เวทนา และเริ่มประจักษ์แจ้งถึง อนิจจัง ด้วยตนเอง พร้อมกับการรักษา อุเบกขา อันเป็นพื้นฐานสำคัญของการถอนรากถอนโคนกิเลส
สรุป
ธรรมบรรยายวันที่ ๓ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ถือเป็นการเริ่มต้นเข้าสู่การปฏิบัติ วิปัสสนา อย่างแท้จริง จากที่เคยเพ่งสติไปที่ลมหายใจ ผู้ปฏิบัติจะถูกแนะนำให้ ขยายขอบเขตการรับรู้สัมผัสไปทั่วทั้งร่างกาย โดยเรียนรู้ที่จะ รับรู้เวทนาทุกประเภท ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่หยาบหรือละเอียด และที่สำคัญคือการฝึก รักษาความเป็นกลาง (อุเบกขา) ต่อทุกสัมผัส การเฝ้าดูสัมผัสที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปนี้เอง จะทำให้ผู้ปฏิบัติ ประจักษ์แจ้งถึงอนิจจัง ด้วยตนเอง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการทำความเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่งและนำไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์
ธรรมบรรยายวันที่ ๔: การทำความเข้าใจธรรมชาติของจิตและอุปทาน
ธรรมบรรยายวันที่ ๔ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ในหลักสูตร ๑๐ วัน เป็นช่วงเวลาที่ผู้ปฏิบัติจะถูกแนะนำให้ลงลึกในความเข้าใจธรรมชาติของจิตและกระบวนการเกิดของ อุปทาน (attachment) ผ่านการเฝ้าดูสัมผัสทั่วทั้งร่างกายอย่างต่อเนื่องและเป็นกลาง
ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๔:
· การสำรวจสัมผัสทั่วร่างกายอย่างละเอียดและต่อเนื่อง: ในวันนี้ ท่านอาจารย์จะเน้นย้ำถึงการสแกนร่างกาย (body scan) อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และจากปลายเท้าจรดศีรษะ โดยพยายามรับรู้สัมผัสที่เกิดขึ้นในทุกส่วนของร่างกายอย่างต่อเนื่องและไม่ขาดสาย ไม่ว่าสัมผัสจะละเอียดหรือหยาบ ปรากฏชัดหรือไม่ก็ตาม ผู้ปฏิบัติควรพยายามรับรู้ถึงการมีอยู่ของสัมผัสเหล่านั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
· ธรรมชาติของจิตที่ทำปฏิกิริยาต่อสัมผัส (เวทนา): ท่านจะอธิบายว่า เมื่อสัมผัสใดๆ เกิดขึ้นในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสที่น่าพอใจ (เช่น ความรู้สึกเบา สบาย) หรือไม่น่าพอใจ (เช่น ความเจ็บปวด ความตึง) จิตของมนุษย์มีแนวโน้มที่จะ ทำปฏิกิริยา ทันที ไม่ว่าจะด้วยการชอบและอยากให้คงอยู่ (โลภะ) หรือไม่ชอบและอยากให้หายไป (โทสะ) ท่านเน้นย้ำว่านี่คือต้นตอของความทุกข์
· การฝึกอุเบกขาอย่างแท้จริง: หัวใจสำคัญของวันนี้คือการฝึกที่จะ ไม่ทำปฏิกิริยา ต่อสัมผัสเหล่านั้น ไม่ว่าสัมผัสจะดีหรือไม่ดี ให้เพียงแค่ รับรู้ โดยปราศจากการตัดสิน หรือการยึดติด นี่คือการฝึก อุเบกขา อย่างแท้จริง การเฝ้าดูอย่างเป็นกลางนี้จะช่วยให้กิเลสที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก (อนุสัยกิเลส) ค่อยๆ ผุดขึ้นมาและสลายตัวไป
· การเข้าใจหลักอนิจจังอย่างลึกซึ้ง: เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถรักษาความเป็นกลางได้ในขณะที่สัมผัสต่างๆ เกิดขึ้นและดับไปอย่างต่อเนื่อง ก็จะเริ่มประจักษ์แจ้งถึง อนิจจัง (impermanence) ในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่ทางปัญญา แต่เป็นการเห็นความจริงด้วยประสบการณ์ตรงว่า ไม่มีสิ่งใดคงทนถาวร ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็ดับไปในที่สุด แม้แต่ความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดก็เช่นกัน
· การจัดการกับความเจ็บปวด: หากเกิดความเจ็บปวดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติ ท่านอาจารย์จะแนะนำให้เผชิญหน้ากับความเจ็บปวดนั้นด้วยสติและอุเบกขา ไม่ใช่การหลีกหนีหรือต่อสู้ ให้เพียงแค่เฝ้าดูความเจ็บปวดนั้นว่าเป็นเพียงสัมผัส ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การทำเช่นนี้จะช่วยให้เข้าใจว่าความทุกข์ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ตัวสัมผัส แต่เป็นปฏิกิริยาของจิตต่อสัมผัสนั้น
โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๔ จึงเป็นการนำผู้ปฏิบัติให้ลงลึกในการปฏิบัติวิปัสสนา ด้วยการสำรวจสัมผัสทั่วร่างกายอย่างละเอียด พร้อมกับทำความเข้าใจธรรมชาติของจิตที่ทำปฏิกิริยาต่อเวทนา และฝึกฝนการรักษาอุเบกขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเห็นความจริงของอนิจจัง และเริ่มถอนรากถอนโคนอุปทานออกจากจิตใจ
สรุป
ธรรมบรรยายวันที่ ๔ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า มุ่งเน้นให้ผู้ปฏิบัติ สแกนร่างกายและรับรู้สัมผัสทั่วทั้งกายอย่างละเอียดและต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นถึง ธรรมชาติของจิตที่มักทำปฏิกิริยา (เกิดโลภะหรือโทสะ) ต่อสัมผัสที่น่าพอใจหรือไม่พอใจ ท่านอาจารย์เน้นย้ำถึงการฝึก อุเบกขาอย่างแท้จริง คือการ ไม่ทำปฏิกิริยา ต่อทุกสัมผัสที่เกิดขึ้น เพื่อให้กิเลสที่ฝังลึกผุดขึ้นมาและดับไป สิ่งนี้จะนำไปสู่การ ประจักษ์แจ้งถึงอนิจจัง ด้วยประสบการณ์ตรง ว่าทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป การเรียนรู้ในวันนี้จึงเป็นการทำความเข้าใจรากเหง้าของความทุกข์ที่เกิดจากอุปทาน และวิธีการที่จะก้าวข้ามมันไป
ธรรมบรรยายวันที่ ๕: การทำความเข้าใจ "สังขาร" และกระบวนการชำระล้างจิต
ธรรมบรรยายวันที่ ๕ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ในหลักสูตร ๑๐ วัน เป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง เพราะท่านอาจารย์จะเปิดเผยถึงแก่นแท้ของการปฏิบัติวิปัสสนา นั่นคือการทำความเข้าใจและเผชิญหน้ากับ สังขาร (Saṅkhāra) ซึ่งเป็นกิเลสที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก และกระบวนการ ชำระล้าง (eradication) กิเลสเหล่านั้นผ่านการรับรู้สัมผัสอย่างเป็นกลาง
ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๕:
· การเชื่อมโยงการปฏิบัติกับอริยมรรค ๘ และปฏิจจสมุปบาท: ท่านอาจารย์จะเริ่มอธิบายถึงความเชื่อมโยงระหว่างการปฏิบัติวิปัสสนาในแต่ละวันกับหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา เช่น อริยมรรคมีองค์ ๘ โดยเน้นว่าการปฏิบัติวิปัสสนาคือ สัมมาสติ และ สัมมาสมาธิ ที่นำไปสู่ สัมมาปัญญา นอกจากนี้ยังจะกล่าวถึง ปฏิจจสมุปบาท (การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมที่อาศัยกันและกัน) โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ ซึ่งเป็นวงจรแห่งการเกิดทุกข์ ท่านจะอธิบายว่าการที่เราเข้าไปทำปฏิกิริยาต่อ เวทนา (สัมผัส) ด้วยความอยากได้ (ตัณหา/โลภะ) หรือไม่อยากได้ (ตัณหา/โทสะ) คือจุดเริ่มต้นของวงจรนี้
· สังขาร: ต้นตอแห่งทุกข์: ท่านจะอธิบายว่าเมื่อเราทำปฏิกิริยาต่อเวทนา ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ จิตจะสร้าง สังขาร(การปรุงแต่งทางจิต) ขึ้น สังขารเหล่านี้คือ กิเลสที่ถูกสะสมและฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก เปรียบเสมือนรอยหยักในใจ หรือโปรแกรมอัตโนมัติที่ทำให้เราทำปฏิกิริยาซ้ำๆ ท่านจะชี้ให้เห็นว่า ทุกครั้งที่เราสร้างสังขารใหม่ สังขารเก่าที่ฝังลึกก็จะผุดขึ้นมาสู่ระดับจิตสำนึกในรูปของ เวทนา (สัมผัส) บนร่างกาย
· การชำระล้างสังขารผ่านการรับรู้สัมผัสอย่างเป็นกลาง: นี่คือหัวใจของการปฏิบัติวิปัสสนา ท่านอาจารย์จะเน้นว่าวิธีเดียวที่จะชำระล้างสังขารได้คือการ เฝ้าดูสัมผัส ที่เกิดขึ้นจากสังขารเหล่านั้นอย่าง เป็นกลาง (อุเบกขา) เมื่อสังขารผุดขึ้นมาในรูปของเวทนา (เช่น ความเจ็บปวด ความรู้สึกแน่น ความรู้สึกเบา สบาย) หากเราไม่เข้าไปทำปฏิกิริยาด้วยตัณหาอีก (คือไม่ชอบหรือไม่ชัง) สังขารนั้นก็จะสลายตัวไปเอง การทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องจะค่อยๆ ชำระล้างกิเลสที่สะสมมานานออกไปจากจิตใจ
· ความสำคัญของ "ความต่อเนื่อง" และ "ความพากเพียร": การปฏิบัติในวันนี้ต้องการความพากเพียรอย่างมาก เพราะสังขารที่สะสมมานานอาจแสดงออกมาในรูปของเวทนาที่รุนแรงหรือไม่พึงพอใจ ท่านจะย้ำเตือนให้ผู้ปฏิบัติรักษา ความต่อเนื่อง (continuity) ในการรับรู้สัมผัส และ ความพากเพียร (diligence) ในการรักษาอุเบกขา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เพราะกระบวนการชำระล้างจิตต้องใช้เวลาและความอดทน
โดยสรุป ธรรมบรรยายในวันที่ ๕ จึงเป็นการเปิดประตูสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งในกระบวนการชำระล้างจิต โดยการทำความเข้าใจว่า สังขาร คือต้นตอแห่งทุกข์ และวิธีเดียวที่จะปลดเปลื้องทุกข์ได้คือการ เฝ้าดูสัมผัสที่เกิดจากสังขารเหล่านั้นอย่างเป็นกลาง ด้วยความต่อเนื่องและพากเพียร จนกว่าสังขารจะสลายไปเอง
สรุป
ธรรมบรรยายวันที่ ๕ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ถือเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติวิปัสสนา ท่านอาจารย์ได้อธิบายความเชื่อมโยงของการปฏิบัติกับ อริยมรรค ๘ และ ปฏิจจสมุปบาท โดยเน้นย้ำถึง สังขาร ซึ่งเป็นกิเลสที่ฝังลึกและเป็นต้นตอของความทุกข์ ท่านสอนว่าเมื่อเราทำปฏิกิริยาต่อ เวทนา (สัมผัส) จิตจะสร้างสังขารใหม่ และสังขารเก่าจะผุดขึ้นมา การชำระล้างสังขารเหล่านี้ทำได้โดยการ เฝ้าดูสัมผัสที่เกิดขึ้นจากสังขารด้วยความเป็นกลาง (อุเบกขา) อย่างต่อเนื่องและพากเพียร โดยไม่เข้าไปปรุงแต่งหรือทำปฏิกิริยาใดๆ การปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยให้กิเลสค่อยๆ สลายตัวไปจากจิตใจ นำไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์
ธรรมบรรยายวันที่ ๖: การทำความเข้าใจขันธ์ ๕ และการแยกสังขารเก่า-ใหม่
ธรรมบรรยายวันที่ ๖ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ในหลักสูตร ๑๐ วัน เป็นวันที่ท่านอาจารย์จะลงลึกในเรื่องของ ขันธ์ ๕ (Pañcakkhandhā) และอธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง สังขารใหม่ (New Saṅkhāras) ที่เราสร้างขึ้นในปัจจุบัน และสังขารเก่า (Old Saṅkhāras) ที่ผุดขึ้นมาจากการสะสมในอดีต ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจกระบวนการชำระล้างจิต
ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๖:
· ขันธ์ ๕: องค์ประกอบของความเป็นตัวตน: ท่านอาจารย์จะอธิบายถึง ขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ "ตัวตน" หรือ "อัตตา" ที่เรายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา ได้แก่
o รูป (Form): ร่างกายและวัตถุธาตุทั้งหมด
o เวทนา (Sensation): ความรู้สึก สัมผัส ทางกายและใจ
o สัญญา (Perception): การจำ การหมายรู้
o สังขาร (Mental Formations): การปรุงแต่งทางจิต เจตนา กิเลส
o วิญญาณ (Consciousness): การรับรู้
ท่านจะเน้นย้ำว่า แท้จริงแล้วขันธ์ ๕ เหล่านี้ล้วนเป็นเพียงกระบวนการที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่ "ตัวเรา" หรือ "ของเรา"
· สังขารใหม่ (New Saṅkhāras): ท่านจะอธิบายว่าสังขารใหม่คือปฏิกิริยาที่เราสร้างขึ้นใน ปัจจุบันขณะ เมื่อเราไปทำปฏิกิริยา ต่อ เวทนา (สัมผัส) ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะชอบ (โลภะ) หรือไม่ชอบ (โทสะ) นั่นคือการสร้างสังขารใหม่ขึ้นมา สิ่งเหล่านี้จะถูกสะสมลงไปในจิตใต้สำนึก และจะกลับมาปรากฏเป็นเวทนาในอนาคต หากเรายังคงทำปฏิกิริยาเช่นนี้ วงจรแห่งทุกข์ก็จะดำเนินต่อไปไม่รู้จบ
· สังขารเก่า (Old Saṅkhāras): ในทางตรงกันข้าม สังขารเก่าคือ กิเลสที่ถูกสะสมมาแล้วในอดีต ไม่ว่าจะในอดีตชาติหรือในอดีตของชีวิตปัจจุบัน เมื่อเราเริ่มปฏิบัติวิปัสสนาอย่างจริงจัง สังขารเก่าเหล่านี้จะถูกกระตุ้นให้ ผุดขึ้นมาสู่ระดับจิตสำนึกในรูปของเวทนา (สัมผัสต่างๆ บนร่างกาย) ซึ่งอาจเป็นความเจ็บปวด ความรู้สึกไม่สบาย หรือแม้แต่ความรู้สึกเบา สบาย สังขารเก่าเหล่านี้กำลังปรากฏตัวเพื่อถูกชำระล้างออกไป
· กลไกการชำระล้าง: การสังเกตอย่างเป็นกลาง: หัวใจสำคัญของวันนี้คือการเน้นย้ำถึง การรักษาอุเบกขา อย่างเข้มข้นที่สุด เมื่อสังขารเก่าผุดขึ้นมาในรูปของเวทนาที่อาจรุนแรงหรือไม่น่าพอใจ หน้าที่ของผู้ปฏิบัติคือการ เฝ้าดูเวทนาเหล่านั้นอย่างเป็นกลาง โดยไม่สร้างสังขารใหม่ขึ้นมาด้วยการชอบหรือชัง เมื่อเราไม่ทำปฏิกิริยาต่อเวทนา สังขารเก่าที่ผุดขึ้นมาก็จะ สลายตัวไปเอง เปรียบเสมือนฟองอากาศที่ผุดขึ้นจากก้นบ่อและแตกสลายไปเมื่อถึงผิวน้ำ
· หนทางสู่การหลุดพ้น: ท่านอาจารย์จะชี้ให้เห็นว่า การชำระล้างสังขารเก่าและหยุดการสร้างสังขารใหม่ด้วยการรักษาอุเบกขาต่อทุกเวทนาที่เกิดขึ้น คือหนทางเดียวที่จะออกจากวงจรแห่งความทุกข์ การปฏิบัติวิปัสสนาจึงไม่ใช่เพียงแค่การทำให้จิตสงบ แต่เป็นการชำระล้างกิเลสจากรากฐานลึกที่สุดของจิตใจ
โดยสรุป ธรรมบรรยายในวันที่ ๖ จึงเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับ ขันธ์ ๕ และกลไกของ สังขาร ทั้งเก่าและใหม่ พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ รักษาอุเบกขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อชำระล้างกิเลสที่ฝังลึกและก้าวสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์
สรุป
ธรรมบรรยายวันที่ ๖ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า อธิบายถึงองค์ประกอบของ "ตัวตน" ผ่าน ขันธ์ ๕ และลงลึกในเรื่องของ สังขาร ท่านชี้ให้เห็นว่า สังขารใหม่ คือปฏิกิริยาโลภะหรือโทสะที่เราสร้างขึ้นในปัจจุบันต่อ เวทนา (สัมผัส) ส่วน สังขารเก่า คือกิเลสที่สะสมมาในอดีตซึ่งผุดขึ้นมาเป็นเวทนาในระหว่างการปฏิบัติ หัวใจสำคัญคือการ รักษาความเป็นกลาง (อุเบกขา) อย่างเข้มข้นต่อเวทนาเหล่านั้น เมื่อไม่ทำปฏิกิริยา สังขารเก่าก็จะสลายไปเอง กระบวนการนี้คือการชำระล้างจิตและเป็นหนทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์
ธรรมบรรยายวันที่ ๗: ก้าวสู่การประจักษ์แจ้งไตรลักษณ์ (อนัตตา) และธรรม ๕ ประการ
ธรรมบรรยายวันที่ ๗ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ในหลักสูตร ๑๐ วัน เป็นวันที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะท่านอาจารย์จะนำผู้ปฏิบัติไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในเรื่อง ไตรลักษณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนัตตา (Non-self) และจะเริ่มอธิบายถึง ธรรม ๕ ประการ (Five Dhamma factors) ที่เป็นผลลัพธ์ของการปฏิบัติที่ถูกต้อง
ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๗:
· อนัตตา: การสลายความยึดมั่นถือมั่นใน "ตัวตน": หลังจากที่ผู้ปฏิบัติได้เห็น อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) และเข้าใจ ทุกขัง (ความทุกข์) จากการทำปฏิกิริยาต่อเวทนาแล้ว ในวันนี้ท่านอาจารย์จะเน้นย้ำถึง อนัตตา ซึ่งเป็นความจริงสูงสุดของการไม่มี "ตัวตน" ที่ถาวร หรือ "ของฉัน" ที่แท้จริง เมื่อผู้ปฏิบัติสังเกตสัมผัสที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งร่างกาย จะเริ่มประจักษ์แจ้งว่าแม้แต่ร่างกายและจิตใจนี้ก็เป็นเพียงกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถควบคุมหรือยึดถือได้ การเห็นเช่นนี้ด้วยปัญญาจากการปฏิบัติ จะนำไปสู่การสลายความยึดมั่นถือมั่นในอัตตา
· การเฝ้าดู "กระแส" ของสัมผัส (Flowing Sensations): ผู้ปฏิบัติจะถูกแนะนำให้สแกนร่างกายต่อไป แต่จะเน้นการรับรู้สัมผัสที่ไหลเวียนเชื่อมโยงกันทั่วทั้งร่างกาย เปรียบเสมือนกระแสพลังงานที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่เป็นจุดๆ หรือก้อนแข็งๆ อีกต่อไป การเห็นกระแสสัมผัสนี้แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนและไม่หยุดนิ่งของสรรพสิ่ง ซึ่งยิ่งตอกย้ำความจริงของอนิจจังและอนัตตา
· การก้าวข้าม "ความทึบตัน" และ "ช่องว่าง": ในระหว่างการสแกนร่างกาย ผู้ปฏิบัติบางคนอาจพบ "ช่องว่าง" หรือ "ความทึบตัน" ที่ไม่รู้สึกถึงสัมผัสใดๆ ในส่วนนั้นๆ ท่านอาจารย์จะสอนให้ผู้ปฏิบัติยังคงรักษาสติและอุเบกขาในส่วนนั้นๆ และสแกนผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่หงุดหงิดหรือพยายามบังคับ เพราะเมื่อจิตมีความละเอียดอ่อนและบริสุทธิ์มากขึ้น สัมผัสก็จะปรากฏขึ้นเองในส่วนที่เคยทึบตัน
· ธรรม ๕ ประการ: ผลลัพธ์ของการปฏิบัติ: ท่านอาจารย์จะกล่าวถึงธรรม ๕ ประการที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติวิปัสสนาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณของความก้าวหน้าในการชำระจิต:
1. ปิติ (Pīti): ความอิ่มเอิบใจ ความสุขที่เกิดจากความสงบและการชำระล้างกิเลส อาจปรากฏในรูปของสัมผัสที่เบา พลุ่งพล่าน หรือขนลุก
2. ปัสสัทธิ (Passaddhi): ความสงบกายสงบใจ ความผ่อนคลายจากความตึงเครียด
3. สุข (Sukha): ความสุขทางใจที่บริสุทธิ์ ไม่ได้เกิดจากการยึดติดในวัตถุ
4. สมาธิ (Samādhi): จิตที่ตั้งมั่นแน่วแน่ ไม่หวั่นไหว
5. อุเบกขา (Upekkhā): ความเป็นกลางอย่างแท้จริงต่อทุกสัมผัสและทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
ท่านจะเน้นย้ำว่า แม้ธรรมเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด และผู้ปฏิบัติจะต้องรักษาอุเบกขาแม้ต่อความสุขสบายเหล่านี้ เพื่อไม่ให้เกิดความยึดติด
โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๗ จึงเป็นการนำผู้ปฏิบัติให้เข้าใจถึง อนัตตา อย่างลึกซึ้งผ่านการเฝ้าดู กระแสของสัมผัส ทั่วร่างกายอย่างเป็นกลาง และชี้ให้เห็นถึง ธรรม ๕ ประการ ที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติอันเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความก้าวหน้าในการชำระจิต แต่ก็ยังคงต้องรักษาอุเบกขาไว้เสมอ
สรุป
ธรรมบรรยายวันที่ ๗ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า นำผู้ปฏิบัติสู่ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับ อนัตตา หรือการไม่มีตัวตนที่แท้จริง โดยผ่านการสังเกต กระแสของสัมผัส ที่ไหลเวียนทั่วร่างกายอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ช่วยให้เห็นว่าทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และสลายความยึดมั่นใน "ตัวตน" ท่านยังสอนวิธีรับมือกับ "ความทึบตัน" ในการรับรู้สัมผัส และอธิบายถึง ธรรม ๕ ประการ (ปิติ, ปัสสัทธิ, สุข, สมาธิ, อุเบกขา) ซึ่งเป็นผลจากการปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่ก็เน้นย้ำให้รักษาความเป็นกลางต่อผลลัพธ์เหล่านี้เสมอ
ธรรมบรรยายวันที่ ๘: การทำลาย "อัตตา" และการก้าวข้าม "ความหลง"
ธรรมบรรยายวันที่ ๘ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ในหลักสูตร ๑๐ วัน เป็นช่วงเวลาที่ท่านอาจารย์จะเน้นย้ำถึงการทำลาย อัตตา (ego) หรือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนที่แท้จริง และการก้าวข้าม ความหลง (delusion) ซึ่งเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งปวง ผ่านการปฏิบัติวิปัสสนาอย่างต่อเนื่องและลึกซึ้ง
ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๘:
· การทำลายอัตตาผ่านการเห็นอนัตตา: ท่านอาจารย์จะย้ำเตือนถึงความสำคัญของการประจักษ์แจ้ง อนัตตา อย่างแท้จริง เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายและจิตใจนี้เป็นเพียงกระบวนการที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอย่างต่อเนื่อง ไม่มีสิ่งใดที่เป็น "ตัวฉัน" หรือ "ของฉัน" ที่ถาวร ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาก็จะค่อยๆ สลายไป การเห็นความจริงนี้ด้วยประสบการณ์ตรงจากการสังเกตสัมผัสทั่วร่างกาย จะนำไปสู่การปลดปล่อยจากความทุกข์
· การขจัดความหลง (Mohā): ท่านจะอธิบายว่า ความหลง (Mohā) คือรากเหง้าของกิเลสทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโลภะ (ความอยากได้) หรือโทสะ (ความไม่พอใจ) ความหลงทำให้เราไม่เห็นความจริงตามที่เป็น และทำให้เราไปทำปฏิกิริยาต่อสัมผัสต่างๆ ด้วยความยึดมั่นถือมั่น การปฏิบัติวิปัสสนาคือการทำลายความหลงนี้ ด้วยการเห็นความจริงของ อนิจจัง (ความไม่เที่ยง), ทุกขัง (ความทุกข์), และ อนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตน) อย่างชัดเจน
· การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง (Continuity of Practice): ในวันนี้ ท่านจะเน้นย้ำถึงความสำคัญของ ความต่อเนื่อง ในการปฏิบัติอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าสัมผัสที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ดีหรือไม่ดี หยาบหรือละเอียด ก็ต้องรักษาการสแกนร่างกายและรักษาอุเบกขาไว้เสมอ การปฏิบัติอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้จิตมีความคมชัดและสามารถเจาะลึกเข้าไปในระดับของจิตใต้สำนึกเพื่อชำระล้างสังขารที่ฝังลึก
· การเผชิญหน้ากับสังขารที่รุนแรง: ในช่วงนี้ ผู้ปฏิบัติอาจเผชิญกับสังขารเก่าที่ผุดขึ้นมาในรูปของเวทนาที่รุนแรงมาก เช่น ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ความรู้สึกอึดอัด หรือความรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์จะสอนให้เผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ด้วยความกล้าหาญและอุเบกขา โดยไม่หนี ไม่ต่อสู้ เพียงแค่เฝ้าดูและรับรู้ว่ามันเป็นเพียงสัมผัสที่เปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเราไม่ทำปฏิกิริยา สังขารเหล่านั้นก็จะสลายไปเอง และความทุกข์ที่เกิดจากมันก็จะหมดไป
· การเห็นความจริงของ "ความว่างเปล่า": เมื่อสังขารเก่าถูกชำระล้างไปมากพอ ผู้ปฏิบัติอาจเริ่มสัมผัสได้ถึง ความว่างเปล่า (emptiness) หรือความไม่มีตัวตนที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการเห็นอนัตตาอย่างลึกซึ้ง นี่คือประสบการณ์ที่นำไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์อย่างแท้จริง
โดยสรุป ธรรมบรรยายในวันที่ ๘ จึงเป็นการกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติลงลึกในการทำลาย อัตตา และขจัด ความหลง ด้วยการประจักษ์แจ้ง อนัตตา ผ่านการสังเกตสัมผัสทั่วร่างกายอย่างต่อเนื่องและเป็นกลาง แม้จะต้องเผชิญกับสังขารที่รุนแรงก็ตาม เพื่อก้าวไปสู่ความเข้าใจในความว่างเปล่าและหลุดพ้นจากทุกข์
สรุป
ธรรมบรรยายวันที่ ๘ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า มุ่งเน้นการ ทำลายอัตตา และ ขจัดความหลง ซึ่งเป็นรากเหง้าของกิเลส โดยการประจักษ์แจ้ง อนัตตา ผ่านการสังเกตสัมผัสทั่วร่างกายอย่างต่อเนื่องและเป็นกลาง ท่านเน้นย้ำถึง ความต่อเนื่องในการปฏิบัติ และการ เผชิญหน้ากับสังขารที่รุนแรง ด้วยอุเบกขา เพื่อให้กิเลสเหล่านั้นสลายไป และนำไปสู่การสัมผัสถึง ความว่างเปล่า อันเป็นหนทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างแท้จริง
ธรรมบรรยายวันที่ ๙: ความจริงของไตรลักษณ์และการก้าวสู่ความหลุดพ้น
ธรรมบรรยายวันที่ ๙ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ในหลักสูตร ๑๐ วัน เป็นช่วงที่ผู้ปฏิบัติถูกกระตุ้นให้ลงลึกในประสบการณ์ของไตรลักษณ์ (Three Characteristics) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประจักษ์แจ้งถึง อนิจจัง (Impermanence), ทุกขัง (Suffering), และ อนัตตา (Non-self) ในทุกขณะจิต เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตหลังจากจบคอร์ส
ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๙:
· การประจักษ์แจ้งไตรลักษณ์ในทุกขณะ: ในวันนี้ ท่านอาจารย์จะย้ำเตือนว่าเป้าหมายสูงสุดของการปฏิบัติคือการเห็นความจริงของไตรลักษณ์ในทุกๆ สัมผัสที่เกิดขึ้นในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสที่ละเอียดหรือหยาบ สบายหรือไม่สบาย ทุกสิ่งล้วนเป็น อนิจจัง (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป), เป็น ทุกขัง (เพราะมีความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจยึดมั่นได้ และเป็นที่ตั้งของทุกข์), และเป็น อนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ของฉัน ไม่สามารถควบคุมได้) การเห็นความจริงนี้ด้วยประสบการณ์ตรงจะช่วยให้จิตไม่เข้าไปยึดติดและทำปฏิกิริยา
· การเอาชนะความสงสัย (Vicikicchā): เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถเห็นความจริงของไตรลักษณ์ได้อย่างชัดเจนจากประสบการณ์ภายใน ความสงสัยในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็จะหมดไป เพราะได้ประจักษ์แจ้งด้วยตนเองว่าธรรมนั้นเป็นจริงและนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้จริง
· การละสังโยชน์ ๓ (Three Fetters): ท่านอาจารย์จะกล่าวถึงสังโยชน์ ๓ ประการแรกที่ผู้ปฏิบัติอาจเริ่มละได้เมื่อการปฏิบัติก้าวหน้า คือ:
1. สักกายทิฏฐิ (Sakkāyadiṭṭhi): ความเห็นว่าเป็นตัวตน คือการยึดมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นอัตตาหรือของตนเอง ซึ่งถูกละได้ด้วยการเห็นอนัตตา
2. วิจิกิจฉา (Vicikicchā): ความสงสัยในพระรัตนตรัยและหลักธรรม ซึ่งถูกละได้ด้วยการประจักษ์แจ้งความจริงด้วยตนเอง
3. สีลัพพตปรามาส (Sīlabbata-parāmāsa): ความยึดมั่นในศีลพรตหรือพิธีกรรมโดยเข้าใจผิดว่าเพียงแค่การปฏิบัติตามพิธีก็จะนำไปสู่การหลุดพ้น ซึ่งถูกละได้เมื่อเข้าใจว่าการชำระจิตใจเป็นเรื่องของการปฏิบัติภายใน
· การเตรียมพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตปกติ: ท่านจะเริ่มแนะนำแนวทางในการนำเอาหลักการและเทคนิคที่ได้เรียนรู้ตลอดหลักสูตรไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เมื่อต้องกลับออกไปเผชิญกับโลกภายนอก ให้ยังคงรักษาสติและอุเบกขาไว้ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิต
· การปลูกฝังเมตตาจิต (Metta Bhavana): ในวันนี้และวันสุดท้ายจะมีการฝึก เมตตาภาวนา เป็นพิเศษ นั่นคือการแผ่เมตตา ความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้ทุกคนเป็นสุข ปราศจากทุกข์ การแผ่เมตตานี้จะช่วยเสริมสร้างพลังงานบวกและช่วยให้จิตใจอ่อนโยนบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น เป็นการจบการปฏิบัติที่มุ่งเน้นการชำระตนเองด้วยการแบ่งปันคุณงามความดีให้ผู้อื่น
โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๙ จึงเป็นการเน้นย้ำถึงการประจักษ์แจ้ง ไตรลักษณ์ อย่างถ่องแท้เพื่อละ สังโยชน์ ๓ ประการแรก พร้อมทั้งให้แนวทางในการนำการปฏิบัติไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และปิดท้ายด้วยการปลูกฝัง เมตตาจิต เพื่อความสุขร่วมกันของสรรพสัตว์
สรุป
ธรรมบรรยายวันที่ ๙ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า มุ่งเน้นการประจักษ์แจ้ง ไตรลักษณ์ (อนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา) ในทุกสัมผัส เพื่อ เอาชนะความสงสัย และ ละสังโยชน์ ๓ ประการแรก (สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา, สีลัพพตปรามาส) ท่านอาจารย์ยังให้แนวทางในการ นำการปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อเผชิญโลกภายนอกด้วยสติและอุเบกขา และปิดท้ายด้วยการฝึกเมตตาภาวนา (แผ่เมตตา) ซึ่งเป็นพลังงานแห่งความปรารถนาดี เพื่อเสริมสร้างจิตใจที่บริสุทธิ์และแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่น
ธรรมบรรยายวันที่ ๑๐: การนำวิปัสสนาไปใช้ในชีวิตประจำวันและการกลับสู่โลกภายนอก
ธรรมบรรยายวันที่ ๑๐ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ในหลักสูตร ๑๐ วัน เป็นวันสุดท้ายของการปฏิบัติที่เข้มข้น และเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ท่านอาจารย์จะเตรียมความพร้อมให้ผู้ปฏิบัติกลับไปใช้ชีวิตในโลกภายนอก โดยเน้นย้ำถึงวิธีการนำหลักวิปัสสนาไปประยุกต์ใช้เพื่อดำรงชีวิตอย่างมีความสุขและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น
ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๑๐:
· การนำวิปัสสนาไปใช้ในชีวิตประจำวัน (Application in Daily Life): ท่านอาจารย์จะเน้นว่าการปฏิบัติวิปัสสนาไม่ได้จบลงเมื่อจบคอร์ส แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินชีวิตด้วยสติและปัญญา ผู้ปฏิบัติจะต้องฝึกการ สังเกตสัมผัสและ รักษาอุเบกขา ในทุกสถานการณ์ของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นขณะทำงาน กิน เดิน พูดคุย หรือเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ไม่สร้างสังขารใหม่ และชำระล้างสังขารเก่าได้อย่างต่อเนื่อง
· การเฝ้าดูปฏิกิริยาอัตโนมัติ (Reactions): ท่านจะสอนให้ตระหนักรู้ถึงปฏิกิริยาอัตโนมัติของจิตที่เกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ เช่น เมื่อมีเรื่องไม่พอใจเกิดขึ้น จิตอาจจะเกิดโทสะในทันที ผู้ปฏิบัติจะต้องฝึกการ หยุดและสังเกตสัมผัส ที่เกิดขึ้นในร่างกายก่อนที่จะปล่อยให้โทสะนั้นควบคุมการกระทำ การฝึกเช่นนี้คือการทำลายวงจรแห่งทุกข์ตั้งแต่ต้น
· เมตตาภาวนา: การแบ่งปันบุญกุศล (Sharing the Merits): ในวันนี้จะมีการเน้นการฝึก เมตตาภาวนา เป็นพิเศษ ผู้ปฏิบัติจะได้แผ่เมตตาความปรารถนาดีออกไปอย่างกว้างขวาง สู่สรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มีขอบเขต การแผ่เมตตานี้เป็นวิธีหนึ่งในการชำระล้างกิเลสประเภทความเห็นแก่ตัว และเป็นพลังงานบวกที่ส่งผลดีทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
· ศีล: รากฐานที่ต้องรักษา (Foundation of Morality): ท่านจะย้ำเตือนอีกครั้งถึงความสำคัญของการรักษา ศีล ๕(สำหรับฆราวาส) หรือศีลที่แต่ละคนได้สมาทานไว้ ศีลเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของการปฏิบัติ และเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขและไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
· ความสำคัญของการกลับมาปฏิบัติอีกครั้ง (Retreats): ท่านอาจารย์จะแนะนำให้ผู้ปฏิบัติกลับมาเข้าคอร์สวิปัสสนา ๑๐ วันเป็นประจำทุกปี เพื่อรักษาความต่อเนื่องของการปฏิบัติ ชำระล้างกิเลสที่อาจกลับมาสะสมใหม่ และฟื้นฟูจิตใจให้บริสุทธิ์เข้มแข็งอยู่เสมอ
· การดำเนินชีวิตอย่างผู้รู้แจ้ง (Living with Wisdom): โดยรวมแล้ว ธรรมบรรยายวันนี้คือการเตรียมผู้ปฏิบัติให้กลับสู่สังคมในฐานะผู้ที่เข้าใจกฎแห่งธรรมชาติ และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติ ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส และเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสันติสุขให้กับโลก
โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๑๐ จึงเป็นการสรุปและรวบยอดคำสอนทั้งหมด พร้อมทั้งให้แนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการนำวิปัสสนาไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง รักษาศีล แผ่เมตตา และพยายามกลับมาปฏิบัติในคอร์สอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์อย่างยั่งยืน
สรุป
ธรรมบรรยายวันที่ ๑๐ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า เน้นย้ำถึงการ นำวิปัสสนาไปใช้ในชีวิตประจำวัน โดยฝึก สังเกตสัมผัสและรักษาอุเบกขา เพื่อหยุดปฏิกิริยาอัตโนมัติของกิเลส ท่านอาจารย์กระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติรักษา ศีล เป็นรากฐาน และฝึก เมตตาภาวนา เพื่อแผ่ความปรารถนาดีสู่สรรพสัตว์ นอกจากนี้ยังแนะนำให้ กลับมาเข้าคอร์สวิปัสสนา เป็นประจำ เพื่อรักษาความต่อเนื่องในการชำระจิต การเรียนรู้ในวันนี้จึงเป็นการเตรียมผู้ปฏิบัติให้ใช้ชีวิตอย่างมีสติและปัญญา เป็นอิสระจากความทุกข์ และเป็นผู้ที่สร้างสันติสุขให้กับตนเองและผู้อื่น
ธรรมบรรยายวันที่ ๑๑: การรักษาการปฏิบัติหลังจากจบคอร์ส
ธรรมบรรยายวันที่ ๑๑ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของธรรมบรรยายหลัก ๑๐ วัน แต่เป็นการบรรยายสรุปเพิ่มเติมในวันสุดท้ายหลังจากจบคอร์ส ซึ่งมักจะมีการให้แนวทางสำหรับผู้ปฏิบัติในการ รักษาและพัฒนาการปฏิบัติ อย่างต่อเนื่องหลังจากกลับไปใช้ชีวิตประจำวัน
ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๑๑:
· การรักษาความต่อเนื่องของการปฏิบัติ: ท่านอาจารย์จะเน้นย้ำว่าการปฏิบัติวิปัสสนาเป็นเรื่องของ ความต่อเนื่อง(continuity) ไม่ใช่แค่ ๑๐ วันในคอร์ส ผู้ปฏิบัติควรพยายามจัดสรรเวลาในชีวิตประจำวันเพื่อการปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ อาจจะเป็นการนั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมงในตอนเช้าและ ๑ ชั่วโมงในตอนเย็น ซึ่งเป็นเวลาขั้นต่ำที่แนะนำ เพื่อให้จิตยังคงสัมผัสกับกระบวนการชำระล้าง
· การนำเทคนิคไปใช้ในทุกกิจกรรม: นอกจากเวลาที่กำหนดแล้ว ท่านจะแนะนำให้ฝึก อนาปานสติและวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน ขณะทำกิจกรรมต่างๆ เช่น เดิน กิน ทำงาน พูดคุย หรือแม้กระทั่งนอนหลับ โดยการเฝ้าดูสัมผัสที่เกิดขึ้นในร่างกายและรักษาอุเบกขาเมื่อมีปฏิกิริยาเกิดขึ้น
· การตระหนักรู้ถึง "ปฏิกิริยา" (Reactions): สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำเมื่อกลับไปใช้ชีวิตปกติคือการเฝ้าระวัง ปฏิกิริยาอัตโนมัติ ของจิต ไม่ว่าจะเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อเกิดเวทนา (สัมผัส) ขึ้นในร่างกาย ให้ระลึกรู้และกลับมาสังเกตสัมผัสอย่างเป็นกลาง เพื่อไม่ให้กิเลสเหล่านี้ก่อตัวขึ้นเป็นสังขารใหม่
· ความสำคัญของศีลในชีวิตประจำวัน: การรักษา ศีล ๕ (หรือศีลที่เหมาะสมกับตน) อย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งจำเป็น เพราะศีลเป็นรากฐานของการปฏิบัติ หากขาดศีล จิตก็ไม่อาจตั้งมั่นและเข้าถึงปัญญาได้
· การแผ่เมตตาอย่างสม่ำเสมอ: ท่านจะแนะนำให้ฝึก เมตตาภาวนา เป็นประจำทุกวัน การแผ่ความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ช่วยชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ ลดความเห็นแก่ตัว และสร้างพลังงานบวกให้กับตนเองและสิ่งรอบข้าง
· การกลับมาเข้าคอร์สวิปัสสนา: ท่านจะเน้นย้ำถึงประโยชน์ของการกลับมาเข้าคอร์ส ๑๐ วันเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นการชำระล้างอย่างล้ำลึก ฟื้นฟูการปฏิบัติ และเรียนรู้จากประสบการณ์ที่สั่งสมมา
· การใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเป็นประโยชน์: เป้าหมายสูงสุดคือการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ปราศจากทุกข์ และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น โดยการเป็นแบบอย่างของผู้ที่ดำเนินชีวิตด้วยสติ ปัญญา และเมตตา
โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๑๑ จึงเป็นการตอกย้ำแนวทางการปฏิบัติวิปัสสนาที่ต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน การรักษาศีลและเมตตา การเฝ้าระวังปฏิกิริยาของจิต และการกลับมาเข้าคอร์สเป็นประจำ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างแท้จริงตามหลักของพระธรรม
สรุป
ธรรมบรรยายวันที่ ๑๑ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า เป็นการให้แนวทางปฏิบัติหลังจบคอร์ส โดยเน้นย้ำถึงการ รักษาความต่อเนื่องในการนั่งสมาธิและนำวิปัสสนาไปใช้ในทุกกิจกรรมของชีวิตประจำวัน ท่านสอนให้เฝ้าระวัง ปฏิกิริยาอัตโนมัติ ของจิตต่อสัมผัสต่างๆ เพื่อไม่ให้สร้างสังขารใหม่ รวมถึงย้ำถึงความสำคัญของการ รักษาศีล และการ แผ่เมตตา อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังแนะนำให้ กลับมาเข้าคอร์สวิปัสสนา เป็นประจำ เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของจิต และดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
ธรรมบรรยายวันที่ ๑๒ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า หลักสูตร ๑๐ วัน
ในหลักสูตรวิปัสสนา ๑๐ วันตามแนวทางของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า โดยปกติแล้วจะไม่มี "ธรรมบรรยายวันที่ ๑๒" อย่างเป็นทางการ เนื่องจากคอร์สจะสิ้นสุดลงในเช้าวันที่ ๑๑ (ตามการนับวันของคอร์ส) ซึ่งประกอบด้วยการนั่งสมาธิและกิจกรรมสรุปในเช้าวันนั้นก่อนผู้ปฏิบัติจะเดินทางกลับ
อย่างไรก็ตาม หากมีการกล่าวถึง "ธรรมบรรยายวันที่ ๑๒" อาจเป็นการเข้าใจผิด หรืออาจหมายถึง:
1. การบรรยายสรุปเพิ่มเติม (สำหรับผู้ปฏิบัติเก่า หรือผู้ที่อยู่ต่อ): ในบางศูนย์หรือบางสถานการณ์ อาจมีการจัดการบรรยายเพิ่มเติมสั้น ๆ หรือการถาม-ตอบสำหรับผู้ปฏิบัติเก่าที่เข้าร่วมคอร์ส หรือผู้ที่เลือกจะอยู่ช่วยงานศูนย์ต่ออีกหนึ่งวันหลังจบคอร์สหลัก เนื้อหาจะเน้นย้ำถึงการรักษาการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และการเป็นตัวอย่างที่ดีของธรรมะ
2. การบรรยายในหลักสูตรที่ยาวขึ้น: เช่น หลักสูตร ๒๐ วัน ๓๐ วัน หรือ ๔๕ วัน ซึ่งมีการบรรยายธรรมะต่อเนื่องไปอีกหลายวัน แต่สำหรับหลักสูตร ๑๐ วันมาตรฐานนั้น จะไม่มีธรรมบรรยายในวันที่ ๑๒
หากพิจารณาจากบริบทของหลักสูตร ๑๐ วัน การบรรยายที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับการนำธรรมะไปใช้ในชีวิตประจำวันจะเกิดขึ้นใน ธรรมบรรยายวันที่ ๙ และวันที่ ๑๐ (ตามการนับวันของคอร์ส) ซึ่งเนื้อหาหลักจะครอบคลุมเรื่อง:
· การนำวิปัสสนาไปใช้ในชีวิตประจำวัน: การฝึกสังเกตสัมผัสและรักษาอุเบกขาในทุกกิจกรรม
· การไม่สร้างปฏิกิริยา (สังขารใหม่): การหยุดวงจรแห่งทุกข์ตั้งแต่ผัสสะ
· เมตตาภาวนา: การแผ่ความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
· การรักษาศีล: เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุด
· ความสำคัญของการกลับมาเข้าคอร์ส: เพื่อชำระจิตอย่างต่อเนื่อง
สรุป
หลักสูตรวิปัสสนา ๑๐ วันของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า โดยทั่วไป ไม่มีธรรมบรรยายในวันที่ ๑๒ คอร์สจะสิ้นสุดลงในเช้าวันที่ ๑๑ พร้อมกิจกรรมสรุปและคำแนะนำสำหรับการนำการปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวัน หากมีการกล่าวถึงวันที่ ๑๒ อาจหมายถึงการบรรยายเพิ่มเติมสำหรับผู้ปฏิบัติเก่าในบางกรณี หรือเป็นการอ้างถึงหลักสูตรที่ยาวกว่านั้น ธรรมบรรยายสำคัญเกี่ยวกับการดำรงตนหลังจบคอร์สจะเน้นที่ วันที่ ๙ และ ๑๐ โดยครอบคลุมเรื่องการนำวิปัสสนาไปประยุกต์ใช้, การไม่สร้างปฏิกิริยา, เมตตาภาวนา, การรักษาศีล และการกลับมาเข้าคอร์ส
สรุปธรรมบรรยายของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า หลักสูตรวิปัสสนา ๑๐ วัน
หลักสูตรวิปัสสนา ๑๐ วัน ตามแนวทางของท่านอาจารย์ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า เป็นการฝึกปฏิบัติเพื่อชำระจิตใจให้บริสุทธิ์และหลุดพ้นจากความทุกข์ ด้วยการพัฒนาปัญญาจากการเห็นความจริงของกายและใจตนเองอย่างตรงไปตรงมา ผ่านการกำหนดรู้ สัมผัส (เวทนา) ทั่วร่างกาย หัวใจของหลักสูตรคือการเรียนรู้ที่จะ ไม่ทำปฏิกิริยา (อุเบกขา) ต่อสัมผัสเหล่านั้น ซึ่งนำไปสู่การชำระล้าง สังขาร (Saṅkhāra) หรือกิเลสที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก
วันที่ ๑: วางรากฐาน – ศีลและอนาปานสติ
เริ่มต้นด้วยการสมาทาน ศีล (งดเว้นการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ และเสพของมึนเมา) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการปฏิบัติ และการรักษา ศีลเงียบ (Noble Silence) ผู้ปฏิบัติเริ่มฝึก อนาปานสติ คือการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูก เพื่อฝึกจิตให้สงบและจดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะ
วันที่ ๒: พัฒนาสมาธิและสติให้ละเอียด
ยังคงเน้นการฝึก อนาปานสติ ให้ละเอียดอ่อนขึ้น โดยพยายามรับรู้สัมผัสของลมหายใจที่เล็กน้อยที่สุดบริเวณปลายจมูก เพื่อพัฒนา ความคมชัด (sharpness) และ ความละเอียดอ่อน (sensitivity) ของจิตในการรับรู้ความจริงภายใน และเริ่มตระหนักถึงธรรมชาติของจิตที่ซัดส่าย แต่ให้เพียงรับรู้และดึงสติกลับมาอย่างนุ่มนวล
วันที่ ๓: เริ่มต้นกายานุปัสสนา – สังเกตสัมผัสหยาบ
เข้าสู่การปฏิบัติ วิปัสสนา อย่างเป็นทางการ โดยเริ่มจากการฝึก กายานุปัสสนา ผู้ปฏิบัติจะถูกนำให้ สแกนร่างกาย (body scan) ทีละส่วนจากศีรษะจรดปลายเท้า เพื่อรับรู้ สัมผัส (เวทนา) ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกที่หยาบ เช่น ความปวด ตึง ร้อน หนาว หรือชา สิ่งสำคัญคือการเริ่มฝึก อุเบกขา (equanimity) คือการเฝ้าดูสัมผัสเหล่านั้นอย่างเป็นกลาง ไม่ชอบและไม่ชัง
วันที่ ๔: เข้าใจธรรมชาติของจิตที่ทำปฏิกิริยา
ลงลึกในการสำรวจ สัมผัสทั่วร่างกาย อย่างละเอียดและต่อเนื่อง ท่านอาจารย์จะอธิบายว่าเมื่อเวทนาปรากฏขึ้น จิตของเรามักจะ ทำปฏิกิริยา ทันทีด้วยความอยากได้ (โลภะ) หรือไม่อยากได้ (โทสะ) ซึ่งเป็นการสร้าง สังขารใหม่ และนำไปสู่ความทุกข์ ผู้ปฏิบัติจึงต้องฝึกรักษา อุเบกขา อย่างเข้มข้น เพื่อไม่ให้สร้างสังขารใหม่ และเริ่มประจักษ์แจ้งถึง อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) ของทุกสัมผัส
วันที่ ๕: สังขารและการชำระล้าง
ธรรมบรรยายวันนี้เป็นหัวใจสำคัญ ท่านอธิบายว่า สังขาร คือกิเลสที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก ซึ่งจะผุดขึ้นมาสู่ระดับจิตสำนึกในรูปของ เวทนา บนร่างกาย การชำระล้างสังขารทำได้โดยการ เฝ้าดูเวทนาเหล่านั้นอย่างเป็นกลาง เมื่อไม่ทำปฏิกิริยาด้วยตัณหา สังขารเหล่านั้นก็จะ สลายตัวไปเอง เปรียบเสมือนฟองอากาศที่ผุดขึ้นจากก้นบ่อแล้วแตกสลายไป ท่านยังเชื่อมโยงกระบวนการนี้เข้ากับ ปฏิจจสมุปบาท เพื่อแสดงให้เห็นจุดตัดวงจรแห่งทุกข์
วันที่ ๖: ขันธ์ ๕ และการทำความเข้าใจสังขาร
ท่านอธิบายถึง ขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ว่าเป็นองค์ประกอบของ "ตัวตน" ที่ไม่เที่ยงแท้ และลงลึกในความแตกต่างระหว่าง สังขารใหม่ (ที่เราสร้างขึ้นจากการทำปฏิกิริยาต่อเวทนาในปัจจุบัน) และ สังขารเก่า (ที่ผุดขึ้นมาเพื่อถูกชำระล้าง) ย้ำถึงความสำคัญของการรักษา อุเบกขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้กระบวนการชำระล้างสังขารเก่าดำเนินไป และหยุดการสร้างสังขารใหม่
วันที่ ๗: อนัตตาและธรรม ๕ ประการ
เน้นย้ำการประจักษ์แจ้ง อนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตน) โดยการเห็นว่าแม้ร่างกายและจิตใจก็เป็นเพียงกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถควบคุมได้ ท่านแนะนำให้สังเกต กระแสของสัมผัส (flowing sensations) ที่ไหลเวียนทั่วร่างกาย เพื่อตอกย้ำอนิจจังและอนัตตา และกล่าวถึง ธรรม ๕ ประการ (ปิติ ปัสสัทธิ สุข สมาธิ อุเบกขา) ซึ่งเป็นผลจากการปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่ก็ต้องรักษาอุเบกขาแม้ต่อธรรมเหล่านี้
วันที่ ๘: การทำลายอัตตาและความหลง
กระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติลงลึกในการทำลาย อัตตา และขจัด ความหลง (โมหะ) ซึ่งเป็นรากเหง้าของกิเลสทั้งหมด ด้วยการประจักษ์แจ้ง อนัตตา อย่างถ่องแท้ผ่านการสังเกตสัมผัสอย่างต่อเนื่องและเป็นกลาง แม้ต้องเผชิญกับสังขารที่รุนแรงก็ตาม เพื่อก้าวไปสู่การสัมผัสถึง ความว่างเปล่า (emptiness) และหลุดพ้นจากความทุกข์
วันที่ ๙: สรุปไตรลักษณ์และการใช้ชีวิตปกติ
เป็นการสรุปรวมหลักธรรมทั้งหมด เน้นย้ำการประจักษ์แจ้ง ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ในทุกสัมผัส เพื่อ ละสังโยชน์ ๓ ประการแรก (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ท่านเริ่มให้แนวทางในการนำการปฏิบัติไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน และแนะนำการฝึก เมตตาภาวนา (Metta Bhavana) เพื่อแผ่ความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์
วันที่ ๑๐: การนำวิปัสสนาไปใช้ในชีวิตและการกลับสู่โลกภายนอก
วันสุดท้ายของการปฏิบัติที่เข้มข้น และเป็นวันที่จะเปิดให้พูดคุยได้หลังศีลเงียบ ท่านอาจารย์จะเน้นย้ำถึงการ นำวิปัสสนาไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง โดยการรักษา สติ อุเบกขา และศีล พร้อมทั้งสังเกตสัมผัสเพื่อไม่สร้างสังขารใหม่ และรักษาการแผ่ เมตตา อย่างสม่ำเสมอ ท่านยังแนะนำให้ กลับมาเข้าคอร์สวิปัสสนา เป็นประจำทุกปี เพื่อรักษาความต่อเนื่องของการชำระจิต เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติ สันติสุข และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น