สรุปธรรมะบรรยาย หลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน ของ อาจารย์ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า

 

ธรรมบรรยายวันที่ ๑ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า หลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน

ในหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วันของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ธรรมบรรยายในวันแรกจะวางรากฐานสำคัญของการปฏิบัติวิปัสสนาเช่นเดียวกับหลักสูตร ๑๐ วัน แต่จะเน้นย้ำถึงกรอบของ พระสูตรมหาสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นคำสอนโดยตรงจากพระพุทธเจ้ามากขึ้น โดยเนื้อหาหลักยังคงเริ่มต้นด้วย อนาปานสติ เพื่อพัฒนาสติและสมาธิ


ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๑:

·       ความสำคัญและวัตถุประสงค์ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน: ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าจะอธิบายว่าหลักสูตรนี้มุ่งเน้นการปฏิบัติตาม พระสูตรมหาสติปัฏฐาน (Mahāsatipaṭṭhāna Sutta) ซึ่งเป็นคำสอนโดยตรงของพระพุทธเจ้าที่ระบุถึงหนทางเดียวเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ทั้งหลาย การก้าวล่วงความโศกและความรำพัน การดับทุกข์และโทมนัส การบรรลุธรรมที่ถูกต้อง และการทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน

·       การวางรากฐานด้วยศีล: เช่นเดียวกับหลักสูตร ๑๐ วัน ศีล เป็นรากฐานที่ขาดไม่ได้ในการปฏิบัติวิปัสสนา ผู้ปฏิบัติจะสมาทานศีลและรักษาอย่างเคร่งครัด รวมถึงการรักษากฎระเบียบของศูนย์ เพื่อให้จิตใจสงบและปราศจากความวุ่นวายจากภายนอก เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับสมาธิและปัญญา

·       การฝึกอนาปานสติ: ประตูสู่การกำหนดรู้: ผู้ปฏิบัติจะเริ่มต้นด้วยการฝึก อนาปานสติ ซึ่งคือการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกที่ปลายจมูกหรือบริเวณเหนือริมฝีปากบนอย่างต่อเนื่อง ท่านจะเน้นย้ำให้:

o   สังเกตลมหายใจตามธรรมชาติ: ไม่บังคับ ไม่ควบคุม เพียงแค่รับรู้ลมหายใจตามที่เป็นจริง ไม่ว่าจะสั้น ยาว หยาบ หรือละเอียด

o   รับรู้สัมผัสของลมหายใจ: จดจ่อที่สัมผัสของลมหายใจที่เกิดขึ้นบริเวณปลายจมูก เช่น ความเย็น ความอุ่น การเสียดสี การทำเช่นนี้ช่วยให้จิตมีสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะ

·       การพัฒนาสมาธิ (สมถะ) เพื่อวิปัสสนา: จุดประสงค์ของการฝึกอนาปานสติคือการทำให้จิตสงบ ตั้งมั่น และมีความคมชัด เพื่อให้สามารถรับรู้ความจริงที่ละเอียดอ่อนของกายและจิตได้ การฝึกนี้เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับก้าวเข้าสู่การปฏิบัติวิปัสสนาที่ลึกซึ้งขึ้น

·       ความเป็นกลาง (อุเบกขา) เบื้องต้น: แม้ในวันแรก ท่านจะเริ่มปูแนวคิดเรื่อง อุเบกขา หรือการวางใจเป็นกลางต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเฝ้าดูลมหายใจ ไม่ว่าสัมผัสจะปรากฏหรือไม่ปรากฏ ก็ให้เพียงรับรู้โดยไม่สร้างปฏิกิริยาใดๆ เพราะความเป็นกลางนี้คือหัวใจของการถอนรากถอนโคนกิเลส

โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๑ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน เป็นการเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวทางของพระพุทธเจ้าในพระสูตรมหาสติปัฏฐาน โดยเริ่มวางรากฐานด้วยการรักษาศีล และการฝึกอนาปานสติเพื่อพัฒนาสมาธิและความคมชัดของจิต เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรับรู้ความจริงภายในอย่างเป็นกลาง


สรุป:

ธรรมบรรยายวันที่ ๑ ในหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วันของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า มุ่งเน้นการวางรากฐานการปฏิบัติวิปัสสนาตามคำสอนใน พระสูตรมหาสติปัฏฐาน ท่านอาจารย์จะเน้นย้ำความสำคัญของ ศีล ในฐานะรากฐานที่มั่นคง และนำผู้ปฏิบัติเข้าสู่การฝึก อนาปานสติ โดยให้สังเกตลมหายใจและสัมผัสที่ปลายจมูกอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อพัฒนาสมาธิและความคมชัดของจิต สิ่งนี้คือการเตรียมความพร้อมขั้นพื้นฐานสำหรับการก้าวไปสู่การเห็นความจริงภายในด้วย อุเบกขา ในวันต่อๆ ไป

 


 

ธรรมบรรยายวันที่ ๒ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า หลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน

ธรรมบรรยายวันที่ ๒ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน ยังคงมุ่งเน้นการเสริมสร้างรากฐานของสติและสมาธิผ่าน อนาปานสติ แต่จะเริ่มเน้นย้ำถึงความละเอียดอ่อนของการรับรู้สัมผัส และการทำความเข้าใจธรรมชาติของจิตที่ซัดส่ายตามแนวทางในพระสูตรมหาสติปัฏฐาน


ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๒:

·       การพัฒนาความละเอียดอ่อนของอนาปานสติ: ท่านอาจารย์จะแนะนำให้ผู้ปฏิบัติพยายามรับรู้ลมหายใจและสัมผัสที่เกิดขึ้นบริเวณใต้รูจมูกและเหนือริมฝีปากบนให้ละเอียดมากยิ่งขึ้น จุดประสงค์คือเพื่อพัฒนา ความไวของจิต ในการรับรู้ความจริงที่ละเอียดอ่อนที่สุดของกาย ซึ่งเป็นพื้นฐานของการเข้าถึง กายานุปัสสนา ในลำดับถัดไป

·       การเฝ้าดูความซัดส่ายของจิต: ในวันนี้ ผู้ปฏิบัติมักจะเผชิญกับ ความฟุ้งซ่านของจิต หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน ท่านอาจารย์จะอธิบายว่านี่เป็นธรรมชาติของจิตที่ไม่ได้รับการฝึกฝนให้สงบนิ่ง ท่านจะสอนให้ผู้ปฏิบัติเพียงแค่รับรู้ ถึงความคิดเหล่านั้น โดยไม่เข้าไปตัดสิน ไม่เข้าไปปรุงแต่ง และไม่เข้าไปผูกมัดกับความคิดนั้น เมื่อรู้ตัวว่าจิตฟุ้งซ่าน ก็ให้ดึงสติกลับมาที่ลมหายใจอย่างนุ่มนวลและไม่ตึงเครียด

·       ความสำคัญของความต่อเนื่อง (Anicca) ในการรับรู้: ท่านจะย้ำเตือนถึงความสำคัญของ ความต่อเนื่อง ในการอยู่กับลมหายใจและสัมผัสในปัจจุบันขณะอย่างไม่ขาดสาย ไม่ว่าลมจะปรากฏชัดเจนหรือไม่ก็ตาม การฝึกนี้เป็นการช่วยให้จิตไม่หลงอดีต ไม่กังวลอนาคต แต่ตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบันขณะอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นก้าวแรกของการเห็น อนิจจัง(ความไม่เที่ยง) ด้วยตนเอง

·       การเตรียมพร้อมสำหรับเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนาเบื้องต้น: แม้จะยังไม่เข้าสู่การสแกนร่างกายอย่างเต็มที่ แต่การพัฒนาความไวในการรับรู้สัมผัสและการเฝ้าดูธรรมชาติของจิตที่ทำปฏิกิริยานั้น เป็นการปูพื้นฐานสำหรับการทำความเข้าใจ เวทนา (สัมผัส) และ จิต (ธรรมชาติของความคิด) อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นในวันต่อๆ ไปตามกรอบของมหาสติปัฏฐาน

โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๒ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน จึงเป็นการเน้นย้ำถึงการพัฒนาความละเอียดอ่อนของการรับรู้ในอนาปานสติ ควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจและจัดการกับธรรมชาติของจิตที่ซัดส่าย ให้ผู้ปฏิบัติเรียนรู้ที่จะอยู่กับปัจจุบันขณะอย่างต่อเนื่องและไม่ตัดสิน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเผชิญหน้ากับความจริงภายในที่ลึกซึ้งขึ้นตามแนวทางของมหาสติปัฏฐานสูตร


สรุป:

ธรรมบรรยายวันที่ ๒ ในหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วันของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ยังคงเน้นการฝึก อนาปานสติ ให้มีความละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น ท่านแนะนำให้พัฒนา ความไวของจิต ในการรับรู้สัมผัสของลมหายใจ พร้อมกับสอนให้ เฝ้าดูความฟุ้งซ่านของจิต อย่างเป็นกลาง ไม่ตัดสิน และดึงสติกลับมาที่ลมหายใจในปัจจุบันขณะอย่างนุ่มนวล การฝึกนี้เป็นการสร้างความต่อเนื่อง ของสติ เพื่อปูพื้นฐานสู่การเห็น อนิจจัง และเตรียมความพร้อมสำหรับการทำความเข้าใจเวทนาและจิตที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นตามหลักมหาสติปัฏฐาน

 

 



ธรรมบรรยายวันที่ ๓ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า หลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน

ธรรมบรรยายวันที่ ๓ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ผู้ปฏิบัติจะก้าวจากการเฝ้าดูลมหายใจ (อนาปานสติ) ไปสู่การเริ่มสำรวจ สัมผัสที่เกิดขึ้นทั่วทั้งร่างกาย อย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นก้าวแรกเข้าสู่ กายานุปัสสนา ตามแนวทางของพระสูตรมหาสติปัฏฐาน


ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๓:

·       การเข้าสู่กายานุปัสสนาอย่างเป็นทางการ: หลังจากที่จิตมีความตั้งมั่นในระดับหนึ่งจากอนาปานสติ ท่านอาจารย์จะแนะนำให้ผู้ปฏิบัติขยายขอบเขตของสติจากการรับรู้ลมหายใจที่ปลายจมูก ไปสู่การ สแกนร่างกาย (body scan)อย่างเป็นระบบ ผู้ปฏิบัติจะถูกแนะนำให้เคลื่อนสติไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างช้า ๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และจากปลายเท้าจรดศีรษะ เพื่อรับรู้สัมผัสที่เกิดขึ้นในทุกอณูของร่างกาย

·       การรับรู้สัมผัสทุกประเภท (เวทนา): ในขั้นตอนนี้ ท่านอาจารย์จะเน้นย้ำให้รับรู้ เวทนา หรือสัมผัสที่หลากหลายรูปแบบที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกหยาบ (เช่น ความเจ็บปวด ความร้อน ความเย็น ความตึง การสั่นสะเทือน) หรือสัมผัสที่ละเอียดอ่อนมากจนแทบไม่รู้สึกอะไรเลย การฝึกเช่นนี้เป็นการพัฒนาความละเอียดอ่อนของจิต และเป็นการยืนยันว่าสัมผัสเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในทุกส่วนของร่างกาย

·       ความสำคัญของความเป็นกลาง (อุเบกขา) ที่ลึกซึ้งขึ้น: เมื่อสัมผัสปรากฏขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสที่น่าพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจ ท่านจะเน้นย้ำถึงการรักษา อุเบกขา อย่างเข้มข้น ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่เข้าไปยินดียินร้าย ไม่ชอบหรือชังต่อสัมผัสเหล่านั้น แต่เพียงแค่ รับรู้ตามความเป็นจริง เพราะสัมผัสทั้งหมดล้วนเป็น อนิจจัง (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป) การรักษาความเป็นกลางนี้คือหัวใจของการถอนรากถอนโคนกิเลส

·       การทำความเข้าใจธรรมชาติของ "ความว่างเปล่า" หรือ "ความทึบตัน": ในระหว่างการสแกนร่างกาย ผู้ปฏิบัติบางคนอาจพบว่าบางส่วนของร่างกายไม่รู้สึกถึงสัมผัสใด ๆ เลย หรือรู้สึกเหมือนมี "ความทึบตัน" ท่านอาจารย์จะสอนให้ไม่หงุดหงิดหรือพยายามบังคับ แต่ให้เพียงแค่รักษาสติและสแกนผ่านไปเรื่อย ๆ ด้วยความอดทน เพราะเมื่อจิตมีความละเอียดอ่อนและบริสุทธิ์มากขึ้น สัมผัสก็จะปรากฏขึ้นเองในส่วนที่เคยรู้สึกทึบตัน

·       การเตรียมพร้อมสู่การเห็นอนิจจังจากประสบการณ์ตรง: การเฝ้าดูสัมผัสที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งร่างกาย จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติเริ่มประจักษ์แจ้งถึง อนิจจัง หรือความไม่เที่ยงแท้ของสรรพสิ่งด้วยตนเอง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของการเห็นความจริงและลดความยึดมั่นถือมั่น

โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๓ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน จึงเป็นการนำผู้ปฏิบัติเข้าสู่ กายานุปัสสนา อย่างเป็นทางการ ด้วยการแนะนำให้สแกนร่างกายเพื่อรับรู้สัมผัสทุกประเภทอย่างละเอียด และที่สำคัญคือการรักษา อุเบกขา ต่อสัมผัสเหล่านั้น เพื่อให้สามารถประจักษ์แจ้งถึง อนิจจัง และปูทางไปสู่การชำระจิตตามหลักมหาสติปัฏฐาน


สรุป:

ธรรมบรรยายวันที่ ๓ ในหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วันของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า คือการเริ่มต้น กายานุปัสสนา ผู้ปฏิบัติจะถูกนำให้ สแกนร่างกาย เพื่อรับรู้ สัมผัส (เวทนา) ทุกประเภท ที่เกิดขึ้นทั่วกายอย่างเป็นระบบ ท่านอาจารย์เน้นย้ำการ รักษาความเป็นกลาง (อุเบกขา) ต่อสัมผัสเหล่านั้น ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี เพื่อให้เห็นว่าทุกสิ่งเป็น อนิจจัง และเตรียมพร้อมสำหรับการชำระกิเลสที่ฝังลึก การเรียนรู้นี้เป็นการพัฒนาปัญญาจากการปฏิบัติจริงตามแนวทางของมหาสติปัฏฐานสูตร

 


 

ธรรมบรรยายวันที่ ๔ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า หลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน

ธรรมบรรยายวันที่ ๔ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน ยังคงเน้นการลงลึกใน กายานุปัสสนา พร้อมกับการทำความเข้าใจธรรมชาติของ เวทนา (ความรู้สึก) และ จิต ที่ทำปฏิกิริยาต่อเวทนาเหล่านั้น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการปฏิบัติวิปัสสนาตามแนวทางของพระสูตรมหาสติปัฏฐาน


ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๔:

·       การสำรวจสัมผัสทั่วร่างกายอย่างละเอียดและต่อเนื่อง: ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าจะกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติรักษา ความต่อเนื่อง ในการสแกนร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า และจากปลายเท้าจรดศีรษะ โดยพยายามรับรู้ สัมผัส (เวทนา)ที่เกิดขึ้นในทุกส่วนของร่างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าสัมผัสจะหยาบหรือละเอียด ปรากฏชัดหรือไม่ก็ตาม การฝึกนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาความไวของจิต และเพื่อให้เห็นว่าสัมผัสเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในทุกอณูของกาย

·       ธรรมชาติของจิตที่ทำปฏิกิริยาต่อเวทนา: ท่านจะอธิบายว่าเมื่อสัมผัสใดๆ เกิดขึ้นในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสที่น่าพอใจ (เช่น ความรู้สึกเบา สบาย) หรือไม่น่าพอใจ (เช่น ความเจ็บปวด ความตึง) จิต ของมนุษย์มีแนวโน้มที่จะ ทำปฏิกิริยา ทันที ไม่ว่าจะด้วยการชอบและอยากให้คงอยู่ (โลภะ) หรือไม่ชอบและอยากให้หายไป (โทสะ) ท่านเน้นย้ำว่านี่คือต้นตอของความทุกข์ที่แท้จริง

·       การฝึกอุเบกขาอย่างเข้มข้น: หัวใจสำคัญของวันนี้คือการฝึกที่จะ ไม่ทำปฏิกิริยา ต่อสัมผัสเหล่านั้น ไม่ว่าสัมผัสจะดีหรือไม่ดี ให้เพียงแค่ รับรู้ โดยปราศจากการตัดสิน หรือการยึดติด นี่คือการฝึก อุเบกขา อย่างแท้จริง การเฝ้าดูอย่างเป็นกลางนี้จะช่วยให้ สังขาร (กิเลสที่ฝังลึก) ที่อยู่ในจิตใต้สำนึก ค่อยๆ ผุดขึ้นมาและสลายตัวไป

·       การประจักษ์แจ้งหลักอนิจจังอย่างลึกซึ้ง: เมื่อผู้ปฏิบัติสามารถรักษาความเป็นกลางได้ในขณะที่สัมผัสต่างๆ เกิดขึ้นและดับไปอย่างต่อเนื่อง ก็จะเริ่มประจักษ์แจ้งถึง อนิจจัง (impermanence) ในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ใช่แค่การเข้าใจทางปัญญา แต่เป็นการเห็นความจริงด้วยประสบการณ์ตรงว่า ไม่มีสิ่งใดคงทนถาวร ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็ดับไปในที่สุด แม้แต่ความเจ็บปวดที่รุนแรงที่สุดก็เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้

·       การจัดการกับความเจ็บปวดและสิ่งกีดขวาง: หากเกิดความเจ็บปวดหรือความรู้สึกไม่สบายขึ้นในระหว่างการปฏิบัติ ท่านอาจารย์จะแนะนำให้เผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านั้นด้วยสติและอุเบกขา ไม่ใช่การหลีกหนีหรือต่อสู้ ให้เพียงแค่เฝ้าดูความเจ็บปวดนั้นว่าเป็นเพียง สัมผัส ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การทำเช่นนี้จะช่วยให้เข้าใจว่าความทุกข์ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ตัวสัมผัส แต่เป็นปฏิกิริยาของจิตต่อสัมผัสนั้น

·       การตระหนักรู้ถึงธรรมชาติของจิต (จิตตานุปัสสนาเบื้องต้น): แม้จะยังเน้นที่กายและเวทนา แต่การสังเกตปฏิกิริยาของจิตที่เกิดขึ้นเมื่อเวทนาปรากฏ ก็ถือเป็นการเริ่มต้นของการฝึก จิตตานุปัสสนา ที่ผู้ปฏิบัติเริ่มเห็นการทำงานของจิตอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการรับรู้สัมผัส

โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๔ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน จึงเป็นการนำผู้ปฏิบัติให้ลงลึกในการปฏิบัติกายานุปัสสนา ด้วยการสำรวจสัมผัสทั่วร่างกายอย่างละเอียด ควบคู่ไปกับการทำความเข้าใจธรรมชาติของจิตที่ทำปฏิกิริยาต่อเวทนา และฝึกฝนการรักษาอุเบกขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเห็นความจริงของอนิจจัง และเริ่มถอนรากถอนโคนสังขารออกจากจิตใจตามแนวทางมหาสติปัฏฐานสูตร


สรุป:

ธรรมบรรยายวันที่ ๔ ในหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วันของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า เน้นการพัฒนา กายานุปัสสนา ให้เข้มข้นขึ้น โดยให้ผู้ปฏิบัติ สแกนร่างกายและรับรู้สัมผัสทั่วทั้งกายอย่างละเอียดและต่อเนื่อง ท่านอธิบายว่าจิตมักจะ ทำปฏิกิริยา ต่อเวทนา (ทั้งชอบและไม่ชอบ) ซึ่งเป็นต้นตอของความทุกข์ ดังนั้นจึงต้องฝึก รักษาความเป็นกลาง (อุเบกขา) อย่างเข้มข้นต่อทุกสัมผัส การปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยให้ สังขาร ที่ฝังลึกผุดขึ้นมาและสลายไป และนำไปสู่การ ประจักษ์แจ้งอนิจจัง ด้วยประสบการณ์ตรง รวมถึงเป็นการเริ่มต้นทำความเข้าใจการทำงานของจิต (จิตตานุปัสสนา) ผ่านการสังเกตสัมผัส

 

 

 

ธรรมบรรยายวันที่ ๕ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า หลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน

ธรรมบรรยายวันที่ ๕ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน เป็นจุดที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าจะลงลึกในแก่นแท้ของการปฏิบัติวิปัสสนา นั่นคือการทำความเข้าใจ สังขาร (Saṅkhāra) ซึ่งเป็นกิเลสที่ฝังลึก และกระบวนการ ชำระล้าง กิเลสเหล่านั้นผ่านการรับรู้สัมผัสอย่างเป็นกลาง โดยเน้นย้ำความเชื่อมโยงกับหลักธรรมในพระสูตรมหาสติปัฏฐาน


ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๕:

·       สังขาร: ต้นตอแห่งทุกข์: ท่านอาจารย์จะอธิบายว่า สังขาร คือการปรุงแต่งทางจิต เจตนา หรือกิเลสที่ถูกสะสมและฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึก เปรียบเสมือนรอยหยักที่เกิดจากการที่เราเข้าไปทำปฏิกิริยา (ชอบ/ชัง) ต่อ เวทนา (สัมผัส) ทุกครั้งที่สังขารใหม่ถูกสร้างขึ้นจากการทำปฏิกิริยา วงจรแห่งทุกข์ (ปฏิจจสมุปบาท) ก็จะดำเนินต่อไป

·       สังขารผุดขึ้นมาในรูปของเวทนา: ท่านชี้ให้เห็นว่าในระหว่างการปฏิบัติวิปัสสนา สังขารเก่าที่สะสมมานานจะถูกกระตุ้นให้ ผุดขึ้นมาสู่ระดับจิตสำนึกในรูปของสัมผัส (เวทนา) บนร่างกาย ซึ่งอาจเป็นความเจ็บปวด ความรู้สึกไม่สบาย ความรู้สึกตึง หรือแม้แต่ความรู้สึกเบา สบาย สังขารเหล่านี้กำลังปรากฏตัวเพื่อถูกชำระล้างออกไป

·       การชำระล้างสังขารด้วยอุเบกขา: นี่คือหัวใจของการปฏิบัติวิปัสสนา ท่านเน้นย้ำว่าวิธีเดียวที่จะชำระล้างสังขารได้คือการ เฝ้าดูเวทนา ที่เกิดขึ้นจากสังขารเหล่านั้นอย่าง เป็นกลาง (อุเบกขา) เมื่อเราไม่เข้าไปทำปฏิกิริยาด้วยตัณหาอีก (คือไม่ชอบหรือไม่ชัง) สังขารนั้นก็จะ สลายตัวไปเอง การทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่องจะค่อยๆ ถอนรากถอนโคนกิเลสที่สะสมมานานออกไปจากจิตใจ

·       ความเชื่อมโยงกับปฏิจจสมุปบาท: ท่านจะอธิบายวงจร ปฏิจจสมุปบาท อย่างละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจุดเชื่อมโยงระหว่าง ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ และชี้ให้เห็นว่าการรักษาอุเบกขาที่ เวทนา คือจุดสำคัญที่สุดในการตัดวงจรแห่งการเกิดทุกข์ เพราะเมื่อไม่มีตัณหาเกิดขึ้นจากเวทนา วงจรก็หยุดลง

·       ความสำคัญของ "ความต่อเนื่อง" และ "ความพากเพียร": การปฏิบัติในวันนี้และวันต่อๆ ไปต้องการ ความพากเพียร (Atapi) และ ความต่อเนื่อง (Sampajano) อย่างมาก เพราะสังขารที่สะสมมานานอาจแสดงออกมาในรูปของเวทนาที่รุนแรงหรือไม่พึงพอใจ ท่านจะย้ำเตือนให้ผู้ปฏิบัติรักษาการสังเกตอย่างต่อเนื่องและรักษาอุเบกขาไว้เสมอ เพื่อให้กระบวนการชำระล้างเป็นไปอย่างสมบูรณ์

โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๕ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน จึงเป็นการเปิดเผยกลไกอันลึกซึ้งของการชำระล้างจิต โดยการทำความเข้าใจว่า สังขาร คือต้นตอแห่งทุกข์ และวิธีเดียวที่จะปลดเปลื้องทุกข์ได้คือการ เฝ้าดูสัมผัสที่เกิดจากสังขารเหล่านั้นอย่างเป็นกลาง ด้วยความต่อเนื่องและพากเพียร จนกว่าสังขารจะสลายไปเองตามแนวทางของพระสูตรมหาสติปัฏฐาน


สรุป:

ธรรมบรรยายวันที่ ๕ ในหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วันของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า เป็นหัวใจสำคัญของวิปัสสนา ท่านอธิบายว่า สังขาร คือกิเลสที่ฝังลึก ซึ่งจะผุดขึ้นมาเป็น เวทนา (สัมผัส) บนร่างกาย การชำระล้างสังขารทำได้โดยการ เฝ้าดูเวทนาเหล่านั้นอย่างเป็นกลาง (อุเบกขา) ด้วยความต่อเนื่องและพากเพียร เพื่อหยุดการสร้างสังขารใหม่และทำให้สังขารเก่าสลายไป ท่านยังเชื่อมโยงกระบวนการนี้เข้ากับ ปฏิจจสมุปบาท เพื่อแสดงให้เห็นว่าการรักษาอุเบกขาที่เวทนาคือจุดตัดวงจรแห่งความทุกข์ที่แท้จริง

 

 

ธรรมบรรยายวันที่ ๖ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า หลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน

ธรรมบรรยายวันที่ ๖ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน เป็นวันที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าจะลงลึกในเรื่องของ ขันธ์ ๕ (Pañcakkhandhā) และอธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง สังขารใหม่ (New Saṅkhāras) ที่เราสร้างขึ้นในปัจจุบัน และสังขารเก่า (Old Saṅkhāras) ที่ผุดขึ้นมาจากการสะสมในอดีต ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจกลไกการชำระล้างจิตตามแนวทางของมหาสติปัฏฐาน


ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๖:

·       ขันธ์ ๕: องค์ประกอบของความเป็นตัวตน: ท่านอาจารย์จะอธิบายถึง ขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ "ตัวตน" หรือ "อัตตา" ที่เรายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของเรา แท้จริงแล้วขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป (Form)เวทนา (Sensation)สัญญา (Perception)สังขาร (Mental Formations)และ วิญญาณ (Consciousness) ล้วนเป็นเพียงกระบวนการที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่ "ตัวเรา" หรือ "ของเรา" ที่แท้จริง การเห็นเช่นนี้จากการปฏิบัติจะช่วยคลายความยึดมั่น

·       สังขารใหม่ (New Saṅkhāras): การสร้างทุกข์ในปัจจุบัน: ท่านจะอธิบายว่าสังขารใหม่คือ ปฏิกิริยา ที่เราสร้างขึ้นใน ปัจจุบันขณะ เมื่อเราเข้าไป ทำปฏิกิริยา ต่อ เวทนา (สัมผัส) ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยความชอบ (โลภะ) หรือไม่ชอบ (โทสะ) ปฏิกิริยาเหล่านี้จะถูกสะสมลงไปในจิตใต้สำนึก และจะกลับมาปรากฏเป็นเวทนาในอนาคต หากเรายังคงสร้างสังขารใหม่ วงจรแห่งทุกข์ก็จะดำเนินต่อไปไม่รู้จบ

·       สังขารเก่า (Old Saṅkhāras): กิเลสที่ผุดขึ้นมาเพื่อชำระล้าง: ในทางตรงกันข้าม สังขารเก่าคือ กิเลสที่ถูกสะสมมาแล้วในอดีต ไม่ว่าจะในอดีตชาติหรือในอดีตของชีวิตปัจจุบัน เมื่อเราเริ่มปฏิบัติวิปัสสนาอย่างจริงจัง สังขารเก่าเหล่านี้จะถูกกระตุ้นให้ ผุดขึ้นมาสู่ระดับจิตสำนึกในรูปของเวทนา (สัมผัสต่างๆ บนร่างกาย) ซึ่งอาจเป็นความเจ็บปวด ความรู้สึกไม่สบาย หรือแม้แต่ความรู้สึกเบา สบาย สังขารเก่าเหล่านี้กำลังปรากฏตัวเพื่อถูกชำระล้างออกไป

·       กลไกการชำระล้าง: การสังเกตอย่างเป็นกลาง (อุเบกขา): หัวใจสำคัญของวันนี้คือการเน้นย้ำถึง การรักษาอุเบกขาอย่างเข้มข้นที่สุด เมื่อสังขารเก่าผุดขึ้นมาในรูปของเวทนาที่อาจรุนแรงหรือไม่น่าพอใจ หน้าที่ของผู้ปฏิบัติคือการ เฝ้าดูเวทนาเหล่านั้นอย่างเป็นกลาง โดยไม่สร้างสังขารใหม่ขึ้นมาด้วยการชอบหรือชัง เมื่อเราไม่ทำปฏิกิริยาต่อเวทนา สังขารเก่าที่ผุดขึ้นมาก็จะ สลายตัวไปเอง เปรียบเสมือนฟองอากาศที่ผุดขึ้นจากก้นบ่อและแตกสลายไปเมื่อถึงผิวน้ำ

·       หนทางสู่การหลุดพ้น: ท่านอาจารย์จะชี้ให้เห็นว่า การชำระล้างสังขารเก่าและหยุดการสร้างสังขารใหม่ด้วยการรักษาอุเบกขาต่อทุกเวทนาที่เกิดขึ้น คือหนทางเดียวที่จะออกจากวงจรแห่งความทุกข์ การปฏิบัติวิปัสสนาจึงไม่ใช่เพียงแค่การทำให้จิตสงบ แต่เป็นการชำระล้างกิเลสจากรากฐานลึกที่สุดของจิตใจอย่างแท้จริง

โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๖ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน จึงเป็นการให้ความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับ ขันธ์ ๕ และกลไกของ สังขาร ทั้งเก่าและใหม่ พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการ รักษาอุเบกขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อชำระล้างกิเลสที่ฝังลึกและก้าวสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์ตามแนวทางของมหาสติปัฏฐานสูตร


สรุป:

ธรรมบรรยายวันที่ ๖ ในหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วันของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า อธิบายถึงองค์ประกอบของ "ตัวตน" คือขันธ์ ๕ และลงลึกในเรื่อง สังขาร ท่านชี้ว่า สังขารใหม่ คือปฏิกิริยาโลภะหรือโทสะที่เราสร้างต่อเวทนาในปัจจุบัน ส่วนสังขารเก่า คือกิเลสที่สะสมและผุดขึ้นมาเป็นเวทนา หัวใจสำคัญคือการ รักษาความเป็นกลาง (อุเบกขา) อย่างเข้มข้นต่อทุกเวทนา เมื่อไม่ทำปฏิกิริยา สังขารเก่าก็จะสลายไปเอง กระบวนการนี้คือการชำระล้างจิตและเป็นหนทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์

 

 

 

ธรรมบรรยายวันที่ ๗ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า หลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน

ธรรมบรรยายวันที่ ๗ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน เป็นวันที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าจะนำผู้ปฏิบัติไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในเรื่อง ไตรลักษณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนัตตา (Non-self) และจะเริ่มอธิบายถึง ธรรม ๕ ประการ (Five Dhamma factors) ที่เป็นผลลัพธ์ของการปฏิบัติที่ถูกต้อง ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนสอดคล้องกับหลักการของพระสูตรมหาสติปัฏฐาน


ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๗:

·       อนัตตา: การสลายความยึดมั่นถือมั่นใน "ตัวตน": หลังจากที่ผู้ปฏิบัติได้เห็น อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) และเข้าใจ ทุกขัง (ความทุกข์) จากการทำปฏิกิริยาต่อเวทนาแล้ว ในวันนี้ท่านอาจารย์จะเน้นย้ำถึง อนัตตา ซึ่งเป็นความจริงสูงสุดของการไม่มี "ตัวตน" ที่ถาวร หรือ "ของฉัน" ที่แท้จริง เมื่อผู้ปฏิบัติสังเกตสัมผัสที่เกิดขึ้นและดับไปอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งร่างกาย จะเริ่มประจักษ์แจ้งว่าแม้แต่ร่างกายและจิตใจนี้ก็เป็นเพียงกระบวนการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถควบคุมหรือยึดถือได้ การเห็นเช่นนี้ด้วยปัญญาจากการปฏิบัติ จะนำไปสู่การสลายความยึดมั่นถือมั่นในอัตตา

·       การเฝ้าดู "กระแส" ของสัมผัส (Flowing Sensations): ผู้ปฏิบัติจะถูกแนะนำให้สแกนร่างกายต่อไป แต่จะเน้นการรับรู้สัมผัสที่ไหลเวียนเชื่อมโยงกันทั่วทั้งร่างกาย เปรียบเสมือนกระแสพลังงานที่ต่อเนื่อง ไม่ใช่เป็นจุดๆ หรือก้อนแข็งๆ อีกต่อไป การเห็นกระแสสัมผัสนี้แสดงให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนและไม่หยุดนิ่งของสรรพสิ่ง ซึ่งยิ่งตอกย้ำความจริงของอนิจจังและอนัตตา

·       การก้าวข้าม "ความทึบตัน" และ "ช่องว่าง": ในระหว่างการสแกนร่างกาย ผู้ปฏิบัติบางคนอาจพบ "ช่องว่าง" หรือ "ความทึบตัน" ที่ไม่รู้สึกถึงสัมผัสใดๆ ในส่วนนั้นๆ ท่านอาจารย์จะสอนให้ผู้ปฏิบัติยังคงรักษาสติและอุเบกขาในส่วนนั้นๆ และสแกนผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่หงุดหงิดหรือพยายามบังคับ เพราะเมื่อจิตมีความละเอียดอ่อนและบริสุทธิ์มากขึ้น สัมผัสก็จะปรากฏขึ้นเองในส่วนที่เคยทึบตัน

·       ธรรม ๕ ประการ: ผลลัพธ์ของการปฏิบัติ: ท่านอาจารย์จะกล่าวถึงธรรม ๕ ประการที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติวิปัสสนาอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสัญญาณของความก้าวหน้าในการชำระจิต:

1.    ปิติ (Pīti): ความอิ่มเอิบใจ ความสุขที่เกิดจากความสงบและการชำระล้างกิเลส อาจปรากฏในรูปของสัมผัสที่เบา พลุ่งพล่าน หรือขนลุก

2.    ปัสสัทธิ (Passaddhi): ความสงบกายสงบใจ ความผ่อนคลายจากความตึงเครียด

3.    สุข (Sukha): ความสุขทางใจที่บริสุทธิ์ ไม่ได้เกิดจากการยึดติดในวัตถุ

4.    สมาธิ (Samādhi): จิตที่ตั้งมั่นแน่วแน่ ไม่หวั่นไหว

5.    อุเบกขา (Upekkhā): ความเป็นกลางอย่างแท้จริงต่อทุกสัมผัสและทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

ท่านจะเน้นย้ำว่า แม้ธรรมเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด และผู้ปฏิบัติจะต้องรักษาอุเบกขาแม้ต่อความสุขสบายเหล่านี้ เพื่อไม่ให้เกิดความยึดติด

โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๗ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน จึงเป็นการนำผู้ปฏิบัติให้เข้าใจถึง อนัตตา อย่างลึกซึ้งผ่านการเฝ้าดู กระแสของสัมผัส ทั่วร่างกายอย่างเป็นกลาง และชี้ให้เห็นถึง ธรรม ๕ ประการ ที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติอันเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความก้าวหน้าในการชำระจิต แต่ก็ยังคงต้องรักษาอุเบกขาไว้เสมอตามแนวทางของพระสูตรมหาสติปัฏฐาน


สรุป:

ธรรมบรรยายวันที่ ๗ ในหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วันของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า นำผู้ปฏิบัติสู่ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับอนัตตา โดยการสังเกต กระแสของสัมผัส ที่ไหลเวียนทั่วร่างกายอย่างต่อเนื่อง ท่านยังสอนวิธีรับมือกับ "ความทึบตัน" ในการรับรู้สัมผัส และอธิบายถึง ธรรม ๕ ประการ (ปิติปัสสัทธิสุขสมาธิอุเบกขา) ซึ่งเป็นผลจากการปฏิบัติที่ถูกต้อง แต่ก็ย้ำให้รักษา อุเบกขา ต่อผลลัพธ์เหล่านี้เสมอ

 

ธรรมบรรยายวันที่ ๙ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า หลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน

ในหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน ธรรมบรรยายวันที่ ๙ เป็นช่วงเวลาที่พิเศษและสำคัญมาก เพราะเป็น วันสุดท้ายของการถือศีลเงียบ (Noble Silence) และเป็นวันที่ท่านอาจารย์โกเอ็นก้าจะสรุปรวบยอดคำสอนทั้งหมด พร้อมทั้งเตรียมผู้ปฏิบัติสำหรับการนำวิปัสสนาไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างจากหลักสูตร ๑๐ วันที่ธรรมบรรยายวันที่ ๙ ยังเป็นการลงลึกในหลักธรรม วันนี้จึงเป็นการเน้นย้ำถึงการนำหลักธรรมจากการปฏิบัติไปใช้ในชีวิตปกติ


ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๙:

·       การเตรียมพร้อมสำหรับการกลับสู่โลกภายนอก: ท่านอาจารย์จะเน้นย้ำว่าการปฏิบัติวิปัสสนาไม่ได้จบลงเมื่อจบคอร์ส แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินชีวิตด้วยสติและปัญญา ผู้ปฏิบัติจะต้องฝึกการ สังเกตสัมผัส และ รักษาอุเบกขา ในทุกสถานการณ์ของชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นขณะทำงาน กิน เดิน พูดคุย หรือเผชิญหน้ากับปัญหาต่าง ๆ การทำเช่นนี้จะช่วยให้ไม่สร้างสังขารใหม่ และชำระล้างสังขารเก่าได้อย่างต่อเนื่อง

·       การเฝ้าดูปฏิกิริยาอัตโนมัติ (Reactions): ท่านจะสอนให้ตระหนักรู้ถึงปฏิกิริยาอัตโนมัติของจิตที่เกิดขึ้นเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น เมื่อมีเรื่องไม่พอใจเกิดขึ้น จิตอาจจะเกิดโทสะในทันที ผู้ปฏิบัติจะต้องฝึกการ หยุดและสังเกตสัมผัส ที่เกิดขึ้นในร่างกายก่อนที่จะปล่อยให้โทสะนั้นควบคุมการกระทำ การฝึกเช่นนี้คือการทำลายวงจรแห่งทุกข์ตั้งแต่ต้น

·       เมตตาภาวนา: การแบ่งปันบุญกุศล (Sharing the Merits): ในวันนี้และช่วงเช้าของวันสุดท้าย (วันที่ ๑๐) จะมีการฝึก เมตตาภาวนา เป็นพิเศษ นั่นคือการแผ่เมตตา ความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้ทุกคนเป็นสุข ปราศจากทุกข์ การแผ่เมตตานี้จะช่วยเสริมสร้างพลังงานบวกและช่วยให้จิตใจอ่อนโยนบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น เป็นการจบการปฏิบัติที่มุ่งเน้นการชำระตนเองด้วยการแบ่งปันคุณงามความดีให้ผู้อื่น

·       ศีล: รากฐานที่ต้องรักษา (Foundation of Morality): ท่านจะย้ำเตือนอีกครั้งถึงความสำคัญของการรักษา ศีล ๕(สำหรับฆราวาส) หรือศีลที่แต่ละคนได้สมาทานไว้ ศีลเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งของการปฏิบัติ และเป็นเครื่องมือในการดำเนินชีวิตอย่างสงบสุขและไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

·       ความสำคัญของการกลับมาปฏิบัติอีกครั้ง (Retreats): ท่านอาจารย์จะแนะนำให้ผู้ปฏิบัติกลับมาเข้าคอร์สวิปัสสนา ๘ หรือ ๑๐ วันเป็นประจำทุกปี เพื่อรักษาความต่อเนื่องของการปฏิบัติ ชำระล้างกิเลสที่อาจกลับมาสะสมใหม่ และฟื้นฟูจิตใจให้บริสุทธิ์เข้มแข็งอยู่เสมอ

·       การดำเนินชีวิตอย่างผู้รู้แจ้ง (Living with Wisdom): โดยรวมแล้ว ธรรมบรรยายวันนี้คือการเตรียมผู้ปฏิบัติให้กลับสู่สังคมในฐานะผู้ที่เข้าใจกฎแห่งธรรมชาติ และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติ ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส และเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างสันติสุขให้กับโลก

โดยสรุป ธรรมบรรยายวันที่ ๙ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน จึงเป็นการสรุปและรวบยอดคำสอนทั้งหมด พร้อมทั้งให้แนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการนำวิปัสสนาไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง รักษาศีล แผ่เมตตา และพยายามกลับมาปฏิบัติในคอร์สอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์อย่างยั่งยืน


สรุป:

ธรรมบรรยายวันที่ ๙ ในหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วันของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า เน้นย้ำถึงการเตรียมความพร้อมสำหรับการกลับสู่ชีวิตประจำวัน โดยแนะนำให้ รักษาการปฏิบัติวิปัสสนาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสังเกตสัมผัสและ รักษาอุเบกขา ในทุกสถานการณ์ ท่านยังสอนให้ตระหนักรู้และจัดการกับ ปฏิกิริยาอัตโนมัติ ของจิตย้ำความสำคัญของ ศีล และการฝึกเมตตาภาวนา อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงกระตุ้นให้ กลับมาเข้าคอร์ส เป็นประจำ เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิตด้วยสติ ปัญญา และสร้างสันติสุขได้

 

 

ธรรมบรรยายวันที่ ๑๐ ของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า หลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน

ธรรมบรรยายวันที่ ๑๐ ในหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วันของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า ไม่ใช่ธรรมบรรยายหลัก แต่เป็น ช่วงเวลาสุดท้ายของการรวมตัวและเตรียมความพร้อมในการเดินทางกลับบ้าน โดยปกติแล้วในเช้าวันสุดท้าย (วันที่ ๑๐) จะมีการฝึกปฏิบัติร่วมกันอีกครั้ง เช่น การนั่งสมาธิและ การแผ่เมตตา (Metta Bhavana) อย่างเข้มข้น จากนั้นจะมีการให้โอกาสผู้ปฏิบัติได้พูดคุยกัน (หลังจากถือศีลเงียบมาตลอด) และอาจมีการตอบคำถามสั้น ๆ หรือให้แนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมก่อนแยกย้าย


ประเด็นสำคัญในธรรมบรรยายวันที่ ๑๐ (และกิจกรรมในวันสุดท้าย):

·       การแผ่เมตตาอย่างลึกซึ้ง (Metta Bhavana): วันสุดท้ายจะเน้นอย่างมากที่การฝึก เมตตาภาวนา หรือการแผ่ความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่มีขอบเขต หลังจากที่ผู้ปฏิบัติได้ชำระจิตใจของตนเองผ่านวิปัสสนาแล้ว การแผ่เมตตาเป็นการแบ่งปันพลังงานแห่งความบริสุทธิ์และสันติสุขที่เกิดขึ้นภายในออกไปสู่ภายนอก เป็นการเปลี่ยนจาก "ฉัน" เป็น "เรา" และเป็นการยืนยันว่าการปฏิบัติธรรมไม่ได้มีเพื่อตนเองเท่านั้น แต่เพื่อประโยชน์สุขของทุกสรรพชีวิต

·       การเตรียมตัวสำหรับการกลับสู่ชีวิตประจำวัน: แม้ธรรมบรรยายหลักจะจบลงในวันที่ ๙ แต่ในเช้าวันที่ ๑๐ จะมีการย้ำเตือนถึงแนวทางสำคัญในการนำหลักการวิปัสสนาไปใช้ในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง ท่านอาจารย์จะเน้นย้ำถึงความสำคัญของ:

o   การรักษาสติและอุเบกขา: ในทุกสถานการณ์ ทั้งในที่ทำงาน บ้าน หรือเมื่อเผชิญกับผู้คนและปัญหาต่าง ๆ

o   การสังเกตสัมผัส: เพื่อตระหนักรู้ถึงปฏิกิริยาของจิตและไม่สร้างสังขารใหม่

o   การรักษาศีล: เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องและปราศจากความทุกข์

·       การปลดล็อคศีลเงียบ (Noble Silence): ในวันนี้ ผู้ปฏิบัติจะได้รับอนุญาตให้พูดคุยกันได้อีกครั้ง หลังจากถือศีลเงียบมาตลอด ๙ วัน สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่และช่วยให้ผู้ปฏิบัติได้แบ่งปันประสบการณ์หรือพูดคุยเพื่อปรับตัวก่อนกลับสู่สังคม

·       การสอบถามและข้อแนะนำสุดท้าย: อาจมีช่วงเวลาสั้น ๆ ให้ผู้ปฏิบัติได้สอบถามข้อสงสัย หรือรับคำแนะนำจากอาจารย์ผู้ช่วยเกี่ยวกับการรักษาการปฏิบัติหลังจากจบคอร์สไปแล้ว

โดยสรุป ธรรมบรรยายและกิจกรรมในวันที่ ๑๐ ของหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วัน จึงเป็นการเน้นย้ำถึงการ แผ่เมตตา เพื่อเสริมสร้างพลังงานบวกและแบ่งปันคุณงามความดี รวมถึงการให้ แนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม สำหรับการนำวิปัสสนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติ สันติสุข และเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น


สรุป:

ธรรมบรรยายวันที่ ๑๐ ในหลักสูตรมหาสติปัฏฐาน ๘ วันของ เอส.เอ็น. โกเอ็นก้า มุ่งเน้นการ แผ่เมตตา อย่างลึกซึ้งเพื่อแบ่งปันบุญกุศลและพลังงานบวก หลังจากการปฏิบัติที่เข้มข้น ท่านจะย้ำเตือนถึง แนวทางการรักษาการปฏิบัติในชีวิตประจำวันเช่น การรักษาสติ อุเบกขา และศีล รวมถึงการสังเกตสัมผัสเพื่อไม่สร้างสังขารใหม่ วันนี้ยังเป็นวันของการ ปลดล็อคศีลเงียบเพื่อให้ผู้ปฏิบัติได้ปรับตัวก่อนกลับสู่สังคม โดยมีเป้าหมายให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสติ ปัญญา และสันติสุขอย่างยั่งยืน

 

Post a Comment (0)
Previous Post Next Post